คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาติ ผู้เขียน : สาโรจน์ มณีรัตน์
จริง ๆ แล้วศาสตร์การบริหารการเป็นผู้นำ มีอยู่หลายศาสตร์ และหลายตำราด้วยกัน เขียนเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด เพราะวุฒิแห่งการเป็นผู้นำเกิดขึ้นจากตัวบุคคลของคนคนนั้นเป็นหลัก ไม่มีใครอุปโลกน์ขึ้นมาได้ ซึ่งเหมือนกับ พระนเรศวรมหาราช, พระเจ้าตากสินมหาราช และ พระปิยมหาราช ที่มีคุณสมบัติของผู้นำอย่างเต็มเปี่ยม
กล่าวกันว่า มีหนังสือฮาวทูมากมายเขียนถึงผู้นำในหลายบริบท บ้างเอ่ยถึงคัมภีร์เต๋าเต๋อจิง ปรัชญาโบราณของเล่าจื๋อ ที่บอกว่า…ผู้นำที่มีการปรับตัวดี จะได้รับความไว้วางใจ และการสนับสนุนจากผู้อื่น
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
ขณะที่ “มหาตมะ คานธี” และ “มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์” เคยกล่าวเรื่องนี้คล้าย ๆ กันว่า…ความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้เกิดศรัทธาในหมู่ผู้ตามได้
แต่ทั้งนั้น คงขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และมุมมองของแต่ละคน
เพราะบางครั้งคนที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำ ต่างมาจากหลายเหตุผล หรืออาจมาจากสถานการณ์ จนมีคำกล่าวบอกว่า สถานการณ์ สร้างวีรบุรุษ หรือวีรบุรุษเป็นผู้สร้างสถานการณ์ แต่เมื่อมาดู คัมภีร์เต๋าเต๋อจิง บทหนึ่งที่กล่าวว่า…เมื่อเป็นที่ประจักษ์ชัดด้วยคำพูด และการกระทำว่าผู้นำไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้ตาม ผู้คนเหล่านั้นจะมองเห็นตัวตนของผู้นำของพวกเขา และไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายเลย
แม้ในความเป็นจริง ศาสตร์ของการเป็นผู้นำจะถูกวัดด้วยผู้ตาม ผู้มีความศรัทธา หรือผู้ที่ชื่นชอบหลงใหลอะไรก็ตาม แต่สุดท้ายวิถีแห่งความเป็นผู้นำจะถูกพิสูจน์ด้วยเหตุผลไม่กี่อย่าง
หนึ่งในนั้นคือ “ใจ”
หนึ่งในนั้นคือ “การให้”
และหนึ่งในนั้นคือ “โอกาส”
รวมถึงความยุติธรรมอันเป็นคุณสมบัติอีกประการที่จะทำให้ผู้ตามเชื่ออย่างสนิทใจ
ฉะนั้น เมื่อนำหลักการแห่งความเป็นจริงตามวิถีของมนุษย์ที่อยู่บนโลกแห่งกลไกทางธุรกิจอย่าง “วรรณี เจียรวนนท์ รอสส์” ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน หรือลูกสาวคนโตของ “เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์” ผู้บริหารระดับสูงของ ซี.พี.กรุ๊ป เธอกลับมีมุมมองต่อเรื่องผู้นำหลายประการด้วยกัน คือ
หนึ่ง ผู้นำโดยกำเนิด
สอง ผู้นำโดยแต่งตั้ง
สาม ผู้นำโดยสถานภาพ
สี่ ผู้นำโดยแท้จริง
ยิ่งเฉพาะเรื่องผู้นำโดยกำเนิด “วรรณี” เคยอธิบายให้ฟังนานแล้วว่า คนคนนี้จะต้องเป็นคนมีเสน่ห์ น่านับถือโดยธรรมชาติ เพราะความเป็นผู้นำ เราสามารถมองเห็นตั้งแต่เด็ก ๆ อย่างเด็กบางคนอายุ 3 ขวบ ก็มีความเป็นผู้นำ กล้านำเพื่อนให้อยากทำตาม และอยากเล่นด้วย แต่ไม่เกี่ยวกับว่าจะเป็นผู้นำดี หรือไม่ดี แต่เด็กพวกนี้เกิดมาพร้อมความสามารถที่จะนำได้ เราเป็นผู้ปกครอง จึงต้องปลูกฝังเขาให้เป็นคนดี
ส่วน ผู้นำโดยแต่งตั้ง “วรรณี” บอกว่า เขาจะต้องเป็นคนมีความรู้ความสามารถ และขยันทำงาน จนเป็นที่เคารพยกย่องต่อคนรอบข้าง ผู้นำประเภทนี้ อาจนำในฐานะที่ทำตามตำแหน่งหน้าที่ แต่จะเป็นผู้นำที่แท้จริงหรือไม่ ลูกน้องเคารพรักหรือไม่ เป็นอีเรื่องหนึ่ง
ขณะที่ ผู้นำโดยสถานภาพ “วรรณี” บอกว่า เขาเป็นคนที่เกิดมาเพียบพร้อม ทั้งทางด้านทรัพย์สิน ซึ่งอาจมีลักษณะของผู้นำโดยกำเนิด หรือผู้นำโดยแต่งตั้งผสมด้วยก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ ผู้นำประเภทนี้จะถูกยอมรับโดยสถานภาพ ดังนั้น เขาจะต้องมีความเป็นคนดี มีน้ำใจซ่อนอยู่ในตัวด้วย ถึงจะทำให้ผู้ตามเลือกเขาที่จะมาเป็นผู้นำ
สุดท้าย ผู้นำโดยแท้จริง “วรรณี” บอกว่า จะต้องเป็นบุคคลที่มีความเป็นผู้นำในตัวเอง ทั้งยังถึงพร้อมด้วยวิสัยทัศน์ ความเฉลียวฉลาด และมีศีลธรรม ที่สำคัญ ผู้นำโดยแท้จริงต้องมีความถ่อมตัว มีีความ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และพร้อมที่จะยอมรับจุดอ่อนของตนเอง ขณะเดียวกันจะต้องยอมรับจุดแข็งของคนอื่นด้วย
เพราะการสอนคน สอนลูก หรือสอนลูกน้อง สอนให้เขาเข้าใจ สอนให้มีเหตุ มีผล ไม่ใช่สอนให้รู้จักผิด ถูกอย่างเดียว เนื่องจากการทำเช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายเขาในทางอ้อม และไม่ใช่วิสัยของผู้นำด้วย
ดังนั้น หากอ่านตามมาถึงตรงนี้ คงพอมองภาพออกว่าภาพของผู้นำในบรรพโบราณ กับภาพของผู้นำในปรัชญาของ เล่าจื๋อ และภาพของผู้นำในส่วนของ “วรรณี” ต่างเป็นภาพเดียวกันทั้งหมด เพียงแต่ท่วงทีในการเลือกใช้วิถีแห่งผู้นำ คงขึ้นอยู่กับผู้นำแต่ละคนแล้วว่าจะเลือกใช้วิธีแบบไหน เพราะท้ายที่สุดคงขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะหน้าด้วย ถ้าสถานการณ์บีบรัดอาจใช้วิธีหนึ่งถ้าสถานการณ์ผ่อนคลายอาจใช้วิธีหนึ่ง
หรือถ้าไม่มีสถานการณ์ใด ๆ เลย อาจเลือกใช้อีกวิธีการหนึ่งก็ได้
แต่ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม คำตอบง่าย ๆ ในการเป็นผู้นำมีอยู่ไม่กี่วิธีหรอก คือ รู้จักให้, รู้จักรับ, รู้จักปลอบ, รู้จักปลุก และรู้จักพูดให้กำลังใจกันบ้าง
เท่านั้นทุกคนก็จะเป็นผู้นำอย่างเต็มตัว ?