ใครเหมาะกับรถไฟฟ้า

คอลัมน์ : สามัญสำนึก
ผู้เขียน : สันติ จิรพรพนิต

ยังเป็นกระแสร้อนแรงต่อเนื่องกับความนิยมรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งในไทยและทั่วโลก เพราะนอกจากเป็นเทรนด์รักษ์โลกแล้ว ยังเป็นนโยบายหลักของประเทศในแถบยุโรป-อเมริกา ที่คุมกำเนิดรถยนต์สันดาปภายใน หรือรถใช้เครื่องยนต์ที่เราคุ้นเคยมายาวนาน จนถึงสุดท้ายยกเลิกการผลิตทั้งหมดภายในราว ๆ 20 ปีจากนี้

สำหรับประเทศไทยเองก็สนับสนุนไม่น้อยด้วยนโยบายของภาครัฐ ทั้งจ่ายเงินชดเชย การลดภาษีต่าง ๆ ทำให้ในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้าทำสถิติยอดจองสูงกว่า 3,000 คัน หรือราว ๆ ถึง 10% ของยอดจองทั้งหมด ถือเป็นตัวเลขทุบสถิติที่เคยมีมา

จากนี้ไปเชื่อว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ตราบใดที่รัฐยังสนับสนุนทั้งเงินชดเชย การเพิ่มสถานีชาร์จ รวมถึงบรรดาค่ายรถรายใหญ่จากญี่ปุ่นที่จะกระโดดลงมาเต็มตัว ภายใน 1-2 ปีจากนี้ หลังปล่อยให้ค่ายรถจากจีนออกสตาร์ตนำไปก่อนพักใหญ่

ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งเสริมและจูงใจให้คนไทยหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ยิ่งเมื่อมีรถยนต์ราคาไม่แพงนักออกมาทำตลาด ซึ่งเชื่อว่ามีแน่เพราะแทบทุกค่ายทั้งจีน-ญี่ปุ่น มีเทคโนโลยีอยู่ในมือแล้ว

รวมถึงอนาคตราคาแบตเตอรี่ อุปกรณ์ราคาแพงที่สุดชิ้นหนึ่งจะย่อมเยาลงเรื่อย ๆ ตามปริมาณการผลิตที่มากขึ้น และเทคโนโลยีที่พัฒนาไปเรื่อย ๆ

หากถามกันจริง ๆ ว่าประเทศไทยเหมาะกับรถยนต์ไฟฟ้าแล้วหรือยัง ??

ณ ปัจจุบันบอกได้ว่าเหมาะสมอยู่ประมาณหนึ่ง เพราะความเสถียรของระบบไฟฟ้ามีเกินพอ เช่นเดียวกับการเพิ่มสถานีชาร์จที่แพร่หลายขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับคนที่ตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพฯ หรือหัวเมืองใหญ่ ที่แต่ละวันใช้รถยนต์เดินทางไม่มากนัก สถานีชาร์จจะมากหรือน้อยไม่ใช่ปัจจัยหลัก

หากพฤติกรรมผู้ซื้อเพียงขับไป-กลับที่งาน หรือแวะโน่น นี่ นั่น บ้างในแต่ละวัน การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง พิสัยการวิ่งเหลือเฟือ

เพราะหากดูสเป็กของรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายในเมืองไทย รุ่นที่ความจุแบตเตอรี่ไม่มาก ยังสามารถวิ่งได้เกิน 200 กิโลเมตร แต่รถส่วนใหญ่วิ่งได้ราว ๆ 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

ยิ่งเป็นรถยุโรปอย่าง “เมอร์เซเดส-เบนซ์ EQS 450+” ที่นำมาอวดโฉมในไทย พิสัยทำการไกลถึง 700 กิโลเมตร เรียกว่าเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดรัศมีไม่เกิน 300 กิโลเมตร แบบไป-กลับได้สบาย โดยไม่ต้องชาร์จเพิ่ม

เรียกว่าหากใช้งานในชีวิตประจำวัน หรือใช้ในเมืองใหญ่ หากไม่ใช่รถรับจ้างอย่างแท็กซี่ วิ่งอย่างไรไม่น่าเกิน 400 กิโลเมตร/วัน ตอนเย็นกลับถึงบ้านเสียบชาร์จทิ้งไว้ เช้าตื่นมาออกไปทำงานหรือธุระได้แบตเตอรี่เต็ม 100%

อย่างไรก็ตาม หากเป็นคนเมืองที่อยู่ในคอนโดมิเนียมอาจไม่สะดวกมากนัก เพราะแม้คอนโดใหม่ ๆ ส่วนใหญ่จะมีที่ชาร์จไว้ให้ แต่หากรถไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้นอาจไม่เพียงพอ ต้องพิจารณาดูว่ามีที่ชาร์จจุดอื่น ๆ หรือไม่

รวมไปถึงคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวบ่อย ๆ หากไม่อยู่ในเส้นทางที่มีสถานีชาร์จมากพออาจไม่สะดวก หรือต้องรอคิวนาน คงต้องชั่งใจนิดหนึ่งว่าตัวเองเหมาะกับการใช้รถไฟฟ้าหรือไม่

แต่ถ้าเป็นคนใช้รถในเมืองเป็นหลัก นาน ๆ วิ่งทางไกลสักครั้ง รถยนต์ไฟฟ้าถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

ยิ่งตอนนี้ราคาน้ำมันแพงรากเลือด ใครที่มีรถยนต์ไฟฟ้าถือว่าคุ้มสุด ๆ เพราะประหยัดค่าเชื้อเพลิงหลายเท่าตัว

ส่วนใครที่ยังไม่แน่ใจว่าเหมาะสมกับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่ ยังมีตัวเลือกอย่างกลุ่มรถไฮบริด ลูกผสมน้ำมัน+ไฟฟ้า หรือปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่ใช้น้ำมันก็ได้ ชาร์จไฟก็ได้

แต่ว่าก็ว่าเถอะ เห็นราคารถยนต์ไฟฟ้าที่หั่นลงกว่า 1-2 แสนบาท ทำกระเป๋าสั่นจริง ๆ