เป็นระยะเวลากว่า 10 ปีที่ธนาคารกสิกรไทยริเริ่มโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาขึ้นนับตั้งแต่ปี 2556 ด้วยความมุ่งหวังอยากดูแลสังคม และเล็งเห็นว่าการศึกษาไทยเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ ซึ่งโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาคือโมเดลการเรียนการสอนแบบใหม่ที่เน้นให้นักเรียนฝึกคิดวิเคราะห์ โดยครูจะเปลี่ยนบทบาทจากผู้สอนเป็น “โค้ช” คอยชี้แนะ และทำให้นักเรียนกลายเป็น “นักวิจัย” เพื่อค้นหาปัญหารอบตัว ก่อนที่จะลงมือค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเอง
จุดเริ่มเพาะพันธุ์ปัญญา
“ดร.อดิศวร์ หลายชูไทย” เลขานุการบริษัท และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า การทำธุรกิจมุ่งแสวงหาแต่เพียงกำไรอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องมอง และเอาใจใส่คนรอบข้างด้วย ทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ลูกค้า ชุมชน สังคม
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
ซึ่งเป็นแนวคิดที่ “คุณบัณฑูร ล่ำซำ” ท่านประธานกิตติคุณ ธนาคารกสิกรไทยวางรากฐานเอาไว้ และมองว่าบทบาทของการเป็นธนาคาร ต้องเป็นกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศเจริญเติบโต และเราต้องเอาใจของเราไปใส่กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราด้วย
“ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ช่วงนั้นเป็นยุคของโลกาภิวัตน์ที่เน้นการแข่งขันกัน คุณบัณฑูรเชิญนักวิชาการ นักวิจัยจากหลาย ๆ ท่านจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มาร่วมหารือกันว่าทำอย่างไรที่จะทำให้องค์กรเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ และเติบโตอย่างยั่งยืน
จนได้ข้อสรุปว่าหัวใจหลักของการพัฒนาที่ยั่งยืนอยู่ที่การศึกษา และการพัฒนาคน จึงริเริ่มโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาขึ้นในปี 2556 ร่วมกับ สกว.ตอนนั้นลงเงินกันคนละครึ่ง จนกลายเป็นเงินทุนที่ใหญ่มากในการทำโครงการ และก็ทำงานกันอย่างหนักเรื่อยมา”
เปลี่ยนครูเป็นโค้ช
“ดร.อดิศวร์” กล่าวต่อว่า โครงการเพาะพันธุ์ปัญญามีวัตถุประสงค์อยากจะสร้างเด็กไทยให้มีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ผ่านโครงงานการวิจัยที่เรียกว่า RBL (research-based learning) สนับสนุนนักเรียนทำโครงงานวิจัยจากเรื่องราวใกล้ตัว หรือเรื่องราวในชุมชนของตนเอง หรือพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้เด็กสามารถนำมาปรับใช้กับวิถีชีวิตตัวเองในอนาคต
“เราพยายามจะเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนทั้งครู และนักเรียน โดยให้ครูเป็นโค้ช และนักเรียนลงมือปฏิบัติจากโครงงานจริง ๆ กระบวนการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ และการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุ และผลแก่เยาวชน
ทั้งนี้ต้องบอกว่าเจตนารมณ์ และความคิดของธนาคารในการช่วยขับเคลื่อนประเทศผ่านการศึกษาไม่ได้เพิ่งเกิดเมื่อ 10 ปีที่แล้วเท่านั้น แต่ความเชื่อนี้มีมากว่า 30 ปีที่แล้ว และส่งต่อมาให้กับพนักงาน และผู้บริหารของธนาคารกสิกรไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านโครงการต่าง ๆ มากมาย”
แต่สำหรับโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาช่วง 6 ปีแรกมีการทำโครงการกับโรงเรียน 18 จังหวัด และมี 8 มหาวิทยาลัย ซึ่งมาจากหลากหลายคณะของแต่ละแห่งเข้ามาเป็นพี่เลี้ยง และมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 135 แห่ง ครูเข้าร่วมโครงการ 4,579 คน และนักเรียนอีก 24,612 คน
ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับดีมาก จนทำให้ในปี 2562 เราลุยโครงการต่อเนื่องโดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยพะเยาผลักดันให้เกิด “โครงการน่านเพาะพันธุ์ปัญญา” ขึ้น
“ถามว่าทำไมเราถึงเลือกจังหวัดน่าน ก็เพราะว่ากสิกรมีการทำโครงการกับจังหวัดน่านมากมาย อีกทั้งยังพบว่าน่านเป็นจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ เป็นอันดับ ที่ 16 จาก 17 จังหวัดภาคเหนือ ทั้ง ๆ ที่เป็นพื้นที่ต้นน้ำสำคัญ มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ เราจึงคาดหวังว่าโครงการจะบ่มเพาะเยาวชนน่าน และให้เยาวชนมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในจังหวัดของตนเองได้ในอนาคต”
สอนเด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง
“รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์” ผู้ถ่ายทอดกระบวนการเพาะพันธุ์ปัญญา และกรรมการกำกับดูแล ทิศทางการดำเนินงาน โครงการน่านเพาะพันธุ์ปัญญา กล่าวเสริมว่า การดำเนินโครงการช่วงแรก ๆ เราให้เด็กและโค้ชทำโครงงานประกวดเพื่อชิงรางวัล แต่เราพบว่าการให้รางวัลไม่ใช่สิ่งที่ถูก เพราะเรากำลังสร้างให้เด็กเป็นนักล่ารางวัล
ฉะนั้น เด็กจะถูกขับเคลื่อนด้วยรางวัล ไม่ใช่แรงบันดาลใจที่อยากจะทำจริง ๆ เราค้นพบว่าการให้รางวัลจะทำให้เด็กจะไม่กล้าทำสิ่งยาก ๆ เพราะกลัวความพ่ายแพ้ ถ้าทุกคนตั้งความหวังว่าต้องชนะ ก็จะยอมรับความล้มเหลวไม่ได้ นั่นจะไม่ทำให้เกิดกระบวนการคิดที่แท้จริง
“จะเห็นว่าเด็กทุกวันนี้เกิดความเครียดมากมาย เพราะบางคนถูกคาดหวังมากเกินไป เราจึงเปลี่ยนวิธีการคือเด็กต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง และต้องทำสิ่งที่เขาอยากจะทำ ไม่ได้เป็นตัวแทนทำในสิ่งที่ครูอยากให้ทำ ดังนั้น ครูต้องเปลี่ยนไปตามความหลากหลายของเด็กด้วย
หัวใจสำคัญของโครงการจึงอยู่ที่ครู ผู้ใกล้ชิดนักเรียน ต้องเป็นโค้ชแนะแนวทางที่ถูกต้อง ซึ่งพอเราไม่ให้รางวัลเป็นตัวตั้งในการแข่งขัน ก็เปลี่ยนมาเป็นผู้ชนะได้แสดงละครเวที ทำให้เด็กได้แสดงออกเชิงสร้างสรรค์ เป็นการทำกิจกรรมร่วมกัน”
เรียนรู้จากทรัพยากรในพื้นที่
“รศ.ดร.สุธีระ” กล่าวต่อว่า สำหรับปีนี้น่านเพาะพันธุ์ปัญญาจัดกิจกรรม Eduthon ใช้วิธีการแบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 2 กลุ่ม ตั้งชื่อเป็นบ้านเหนือกับบ้านใต้ของน่าน เพื่อให้เด็กจากเหนือไปดูทรัพยากรจากใต้ ส่วนกลุ่มใต้ไปดูทรัพยากรจากเหนือว่ามีอะไรบ้าง เมื่อเจอแล้วเขามีความคิดอย่างไรกับความสัมพันธ์ระหว่างทรัพยากรที่บ้านตนเองมีกับสิ่งที่บ้านผู้อื่นมี เพราะทางโครงการต้องการสร้างเด็กให้เข้าใจความสัมพันธ์ของทรัพยากร ชีวิต อาชีพ ธรรมชาติ
“ตอนนี้การทำมาหากินของมนุษย์ตัดขาดกับธรรมชาติ เช่น บางครอบครัวมีอาชีพปลูกข้าวโพดเพื่อใช้หนี้ แต่ไม่รู้ว่าการปลูกพืชเชิงเดี่ยวทำลายธรรมชาติ ทำให้เกิดภูเขาหัวโล้น เพราะเป็นอาชีพที่ทำมานาน ดังนั้น ถ้าต้องการให้คนน่านเห็นปัญหาต้องทำให้เด็กเห็นความสัมพันธ์ระหว่างอาชีพกับทรัพยากรให้ได้ก่อน ต่อไปจะได้ช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลง เข้าใจถึงการใช้ทรัพยากรกับอาชีพว่าเชื่อมโยงกันอย่างไร”
เมื่อนักเรียนได้เรียนรู้ธรรมชาติในพื้นที่ของเขาแล้ว เขาสามารถนำความรู้จากสิ่งที่เขาได้เรียน มาวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นจากสภาพจริง จนนำไปสู่การหาทางแก้ปัญหา การพัฒนาพื้นที่บ้านเกิด การพัฒนาทรัพยากรในพื้นที่ที่ตนเองอยู่อาศัย
ก้าวต่อไปในระบบการศึกษา
อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้โครงการน่านเพาะพันธุ์ปัญญา ดำเนินงานครบตามเป้าหมาย 3 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2562-2565 ถือว่าสิ้นสุดโครงการ “ดร.อดิศวร์” กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีเราสร้างโรงเรียนต้นแบบไปแล้ว 30 แห่ง มีครูเข้าร่วมโครงการ 161 คน เด็กนักเรียน 1,277 คน และมีการนำเสนอโครงงานนักเรียนถึง 195 โครงงาน จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้แค่ 150 โครงงาน
ตอนนี้ผลสำเร็จจากเพาะพันธุ์ปัญญาสู่น่านตลอด 10 ปีที่ดำเนินมากลายเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่กำลังจะถูกส่งต่อไปในเวทีที่ใหญ่มากขึ้น ตามความตั้งใจแต่แรกของเราเมื่อ 10 ปีก่อนคืออยากให้สิ่งนี้เข้าไปอยู่ในระบบการศึกษา ไม่ใช่เป็นแค่การร่วมมือของเอกชนกับหน่วยงานเล็ก ๆ
ซึ่งจากนี้จะไม่มีการใช้ชื่อโครงการว่าน่านเพาะพันธุ์ปัญญาแล้ว เพราะกำลังจะถูกหยิบนำไปใช้ในแซนด์บอกซ์ ซึ่งหมายถึงการถูกนำไปทดลองใช้ในระบบการศึกษาจริง ๆ อาจเริ่มต้นในโรงเรียนบางแห่ง
ถ้าได้ผลลัพธ์ที่ดี จะถูกกระจายนำไปใช้ในวงกว้างขึ้น เป็นการตอกย้ำให้เห็นความตั้งใจของเรา แม้ว่ากสิกรจะเป็นผู้สนับสนุนที่เล็กน้อย แต่เชื่อว่าประโยชน์ที่ได้รับต่อไปจะมหาศาลอย่างมาก เพราะการศึกษาคือรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ