เทรนด์จ้างงานล่าสุด บริษัทแห่จ้างนักศึกษาจบใหม่ เพราะเท่าทันดิจิทัล

เด็กจบใหม่ทำงาน
ภาพจาก: มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

เปิดเทรนด์จ้างงานล่าสุด เด็กจบใหม่ฮอตสุดในตลาดงาน 7 ใน 10 ของบริษัทขนาดใหญ่มีการจ้างนักศึกษาจบใหม่ เพราะเท่าทันเทคโนโลยี และเงินเดือนเฉลี่ยยังไม่สูงเกินไป

ก่อนหน้านี้หลายคนอาจคิดว่าเด็กจบใหม่ (first jobber) หางานยาก เพราะบริษัทย่อมต้องการคนที่มีประสบการณ์ จะได้ไม่เสียเวลาไปกับการสอนงาน เรียนรู้งาน แต่ในยุคที่โลกหมุนเร็ว พร้อม ๆ กับการเกิดความท้าทายใหม่มากมาย ทำให้ทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการเปลี่ยนไปตลอดเวลา ปัจจุบันบัณฑิตป้ายแดงจึงไม่ใช่ผู้ที่ต้องเดินเตะฝุ่น แต่กำลังเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน เพราเด็กรุ่นใหม่สามารถให้แนวคิดใหม่ ๆ ทันสมัยกับองค์กรได้

โดยข้อมูลจาก JobsDB แพลตฟอร์มจัดหางาน เผยผลสำรวจเกี่ยวกับแนวโน้มการจ้างงานปี 2565-2566 พบว่า สถานการณ์การจ้างงานเริ่มกลับมาคึกคักขึ้น หลังผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติ โดยปัจจุบัน 48% ขององค์กรขนาดใหญ่ (พนักงานมากกว่า 160 คน) เริ่มกลับมาจ้างงาน และต้องการพนักงานแบบเต็มเวลามากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงโควิด-19 โดยข้อมูลการจ้างงานในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า 7 ใน 10 ของบริษัทขนาดใหญ่มีการจ้างนักศึกษาจบใหม่ และมากกว่าครึ่งจ้างนักศึกษาฝึกงานเมื่อจบการศึกษาแล้ว

“ดร.วริศ ลิ้มลาวัลย์” อาจารย์จากวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) กล่าวถึงเทรนด์การจ้างงานที่เปลี่ยนไปในปี 2566 ว่า ขณะนี้องค์กรกำลังต้องการคนรุ่นใหม่กลุ่ม Gen Z เข้าทำงาน เพราะเกิดในยุคดิจิทัล มีทักษะเท่าทันเทคโนโลยี มีความคิดสร้างสรรค์ และเงินเดือนเฉลี่ยกลุ่มนี้ยังไม่สูงเกินไป โดยจากหน้าข่าวสื่อด้านธุรกิจของประเทศในอาเซียนอย่างสิงคโปร์ และมาเลเซียระบุว่า มีกระแสที่องค์กรธุรกิจชั้นนำนิยมจ้างงานนิสิตจบใหม่มากกว่า 70% ของตำแหน่งงานที่เปิดรับ

“เด็กจบใหม่เป็นวัยที่เพิ่งเริ่มต้นสร้างชีวิต การเริ่มทำงานที่แรกเงินเดือนอยู่ระหว่าง 15,000-25,000 บาท นอกจากนี้ยังมีข้อได้เปรียบคือ เด็กรุ่นใหม่มีทักษะด้านดิจิทัล ด้านการเรียนรู้ ด้านการค้นคว้าข้อมูลที่ดีมาก ซึ่งโลกทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การแข่งขันในทุกธุรกิจก็สูง เวลาต้องติดตามเทคโนโลยี ใช้แอปพลิเคชั่น หรือจับกระแสเทรนด์ต่าง ๆ เด็กรุ่นใหม่ทำได้ดี ทั้งยังกล้าแสดงออก กล้าตั้งคิดคำถาม จึงมีส่วนช่วยให้องค์กรมีความทันสมัย สร้างการมีส่วนร่วม เสริมความสมดุลในการทำงาน และได้เติมพลังสดใสของวัยรุ่นเข้าไปในองค์กร”

ดร.วริศ ลิ้มลาวัลย์
ดร.วริศ ลิ้มลาวัลย์

ดร.วริศกล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อมองคนรุ่นใหม่ในเชิงบวกว่าสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้องค์กรได้ สามารถช่วยพัฒนาและช่วยในเรื่องการจับกระแสโลกอนาคตต่อไปจากยุคนี้ได้ บันไดขั้นต่อมาคือการเข้าใจคนรุ่นใหม่ ผู้ประกอบการต้องรู้ว่าคนรุ่นใหม่ชอบ career path ที่ชัดเจน ไม่ชอบเรื่องเส้นสาย หรือใครพวกใคร

คนรุ่นใหม่ชอบวัดกันที่ฝีมือ ผลงาน และตัวชี้วัดแบบแฟร์ ๆ ถ้าองค์กรมีความโปร่งใส ระบบการวัดผลดี ก็จะมัดใจคนรุ่นใหม่ให้อยู่กับองค์กรต่อไป อย่างไรก็ตาม เด็กจบใหม่มักมองเรื่องคุณค่าในงานมาก และชอบหาโอกาสใหม่ ๆ ที่ดีกว่าอยู่เสมอ ดังนั้น หากมีอะไรไม่ดี คนรุ่นใหม่จะไหลออกจากองค์กรทันที องค์กรที่ต้องการคนรุ่นใหม่เป็นพลังขับเคลื่อนพัฒนาต้องมีการปรับรูปแบบการบริหารงานเพื่อดึงดูดใจเขาให้ได้

ดร.วริศ ในฐานะอาจารย์หลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน ยกกรณีศึกษาใกล้ตัวว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา วงการโลจิสติกส์ต้องเปิดรับคนรุ่นใหม่เข้ามาจำนวนมาก ซึ่งพบว่าการสร้าง engagement ให้อยู่กับองค์กรนับเป็นโจทย์ที่ท้าทาย

เนื่องจากงานด้านโลจิสติกส์เป็นงานที่ต้องให้บริการต่อเนื่อง ต้องแม่นยำ ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความตั้งใจ ทั้งงานวางแผน งานคลัง และงานขนส่ง การหาคนรุ่นใหม่เข้าไปในองค์กรจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้น องค์กรธุรกิจจำเป็นต้องทำงานใกล้ชิดกับมหาวิทยาลัย เพื่อบ่มเพาะบัณฑิตป้ายแดงให้มีคุณสมบัติพร้อมใช้และเข้าใจในธรรมชาติของสายงาน ขณะที่องค์กรก็เข้าใจธรรมชาติของคนรุ่นใหม่ หัวหน้างาน และคนรุ่นใหม่เองก็ต้องปรับตัวเข้าหากัน

“ระยะหลังองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะด้านโลจิสติกส์ เข้ามาจับมือกันออกแบบหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการมากขึ้น มีพื้นที่พบปะคนรุ่นใหม่ผ่านโครงการสหกิจศึกษาและการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงาน หรือ CWIE รวมทั้งนักศึกษาได้เข้าไปปฏิบัติงานและทำโครงงานในองค์กรธุรกิจจริงก่อนที่จะจบการศึกษา ทำให้ได้เรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในสายงาน ซึ่งเป็นประโยชน์มากต่อภาพรวมการจ้างงาน ทั้งในแง่ขององค์กรที่ได้แรงงานฝีมือดีในการผลักดันธุรกิจให้เติบโต และเด็กจบใหม่ที่กำลังก้าวเป็นแรงงานแห่งอนาคต (future workforce)” ดร.วริศกล่าวทิ้งท้าย