เข้าใจให้เข้าถึง

คอลัมน์ CSR Talk

โดย สุรีพันธุ์ เสนานุช สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ

ศาสตร์พระราชา “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มีการนำมาอ้างถึงเสมอในงานพัฒนาชุมชน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงพระราชทานแนวคิดนี้ ทรงดำเนินพระราชกรณียกิจตลอดพระชนม์ชีพด้วยแนวคิดนี้ตลอดมา

กิจกรรมในโครงการ CSR ปัจจัยด้านความเข้าใจเป็นจุดตั้งต้นสำคัญที่คลาดเคลื่อนอยู่เสมอ เพราะคนทำงานใช้ความเข้าใจของตนเอง โดยที่ไม่ได้เข้าใจในบริบทพื้นที่ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมของชุมชนที่จะเข้าไปทำงานด้วยแต่อย่างใด

ยกตัวอย่างกิจกรรมยอดนิยมอย่างการปลูกป่าชายเลน แม้ว่าปัญหาความเสื่อมโทรมของป่าชายเลนจะมีอยู่จริง แต่การทำกิจกรรมเพียงแค่เข้าไปบุกน้ำ ลุยโคลนปลูกป่าชายเลน จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลน ตั้งเครือข่ายอาสาดูแลป่าชายเลน คำถามคือด้วยกิจกรรมเพียงเท่านี้จะมีผลอย่างไรต่อคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ที่ป่าชายเลนจะคืนสภาพไปสู่ความสมบูรณ์ ในระหว่างนั้น คนในชุมชนใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไร มีรายได้เพียงพอหรือไม่ เด็ก ๆ มีโอกาสทางการศึกษาหรือไม่ เพราะทั้งสองประเด็นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูป่าชายเลนทั้งสิ้น

การทำงานด้วยความเข้าใจ จึงต้องหาความรู้ที่รอบด้านในเรื่องนั้น ๆ ให้เพียงพอ และมองทะลุตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำในแต่ละเรื่อง เช่น ในเป้าหมายสุดท้ายของการฟื้นฟูป่าชายเลนคือการสร้างแหล่งอาหาร แหล่งทำมาหาเลี้ยงชีพ ให้คนในชุมชน ทำอย่างไรที่จะให้คนในชุมชนดูแลป่าชายเลนอย่างเห็นเป้าหมายเดียวกัน ทำอย่างไรจะให้คนในชุมชนมีกำลังที่เข้มแข็งทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมเพื่อมีแรงขับเคลื่อนในการฟื้นฟูป่าชายเลนให้กลับสู่สภาพอุดมสมบูรณ์

ทำอย่างไรที่จะให้เยาวชนในพื้นที่เห็นคุณค่าของป่าชายเลน มีความรู้ มีทักษะ ที่จะช่วยกันดูแลรักษา และสร้างคุณค่าจากป่าชายเลนนี้ได้ในอนาคต

เครื่องมือที่จะช่วยให้คนทำงานมีความเข้าใจในงานที่จะดำเนินการอย่างถูกต้อง รอบด้าน และชัดเจน คือการจัดการความรู้ หรือ knowledge management (KM) ที่จะกลั่นกรองจากระดับข้อมูลมาเป็นความรู้ที่มีคุณค่าต่อการทำงาน (valuable knowledge) ทำให้ไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และความรู้นั้นเมื่อทำให้เกิดความสำเร็จก็จะกลายเป็นภูมิปัญญา (wisdom) ที่ใช้ส่งต่อกันไปในที่สุด

KM เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานในทุก ๆ งาน ถ้าใช้เป็น แต่ที่ผ่านมาองค์กรมักจะถูก KM ใช้จนเหนื่อยล้าแต่ไม่เกิดประโยชน์ให้เห็นเป็นรูปธรรม ในการทำงานชุมชนจึงต้องวิเคราะห์ว่าเพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าหมายต้องใช้ความรู้อะไรบ้าง เช่น เริ่มต้นต้องรู้ว่าชีวิตของเกษตรกรเป็นอย่างไร เผชิญกับปัญหาอะไรบ้าง นำมาวิเคราะห์ และจัดลำดับความสำคัญในการวางแผนงานสร้างคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นทุก ๆ ด้าน

จากการเก็บข้อมูลเกษตรกรในชุมชนแห่งหนึ่งของจังหวัดลพบุรี ทำให้เห็นตัวเลขค่าใช้จ่ายของเกษตรกรที่สูงมากเกือบจะเท่ากับคนในชุมชนเมือง ยกตัวอย่างการเก็บข้อมูลเกษตรกรในพื้นที่แห่งหนึ่งเมื่อปี 2559 ครอบครัวที่มีสมาชิกทั้งหมดเพียง 4 คนคือ พ่อ แม่ และลูก 2 คน ที่อยู่ในวัยเรียนที่ยังไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายทางการศึกษา แต่ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในบ้านก็ตกเดือนละ 9,200 บาท รวมรายรับทั้งปีในการปลูกข้าวโพดอยู่ที่ 303,408 บาท มีรายจ่ายต่อปี รวมการลงทุนในการทำการเกษตรอยู่ที่ 220,080 บาท มีเงินคงเหลือ 83,328 บาทต่อปี

ซึ่งแม้ดูเหมือนว่าจะมีเงินเหลือเก็บ เงินจำนวนนี้ยังไม่ได้รวมถึงกรณีมีหนี้สิน การเจ็บป่วย การซื้ออุปกรณ์ทางการเกษตร การปรับปรุงพื้นที่ การซ่อมแซมบ้าน ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และด้านการศึกษาที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเมื่อลูกต้องเรียนในระดับที่สูงขึ้น เช่นในครอบครัวที่มีสมาชิก 6 คน ซึ่งประกอบด้วย พ่อ แม่ ปู่ ย่า และลูก 2 คนเรียนในระดับที่ต้องมีค่าใช้จ่าย รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้สูงอายุในบ้าน

ปรากฏว่ามีรายจ่ายต่อเดือนถึง 23,619 บาท มีรายได้รวมทั้งปีทั้งการปลูกข้าวโพดและพืชเสริม 760,526 บาท แต่ก็มีรายจ่ายรวมถึง 871,170 บาท นั่นหมายถึงรายรับไม่สมดุลรายจ่ายอย่างเห็นได้ชัด

ตัวอย่างข้อมูลนี้คือสิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจก่อนที่นำไปวางแผนในด้านการยกระดับเศรษฐกิจในชุมชน ทำอย่างไรที่จะให้เกษตรกรมีเงินออม มีเงินหมุนเวียนที่จะนำมาใช้ในยามจำเป็น เพราะพบว่าเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก เป็นส่วนหนึ่งที่เกษตรกรต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ และการปลดหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงเป็นเรื่องยากมาก

การแก้ปัญหานี้ต้องใช้องค์ความรู้หลายด้าน รวมทั้งการศึกษาแนวทางแก้ปัญหาต่าง ๆ แล้วนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์แนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับชุมชนนั้น ๆ ซึ่งหมายถึงคนในชุมชนต้องเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง

การเข้าใจจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึง ในจุดที่สามารถทำให้คนในชุมชนสามารถจัดการปัญหาด้วยตัวของเขาเองอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ด้วยการจัดการจากคนภายนอก เพราะหน้าที่ของคนทำงานชุมชนเป็นเพียงผู้เอื้ออำนวย หรือ facilitator ไม่ใช่ leader หรือผู้ชี้นำ