ปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร ซีพีเอฟมุ่งแก้ปัญหาภัยแล้งยั่งยืน

เชื่อว่าหลายคนคงคิดเหมือนกันว่าปัจจุบันฤดูร้อนของประเทศไทยอุณหภูมิสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะปีนี้หลายจังหวัดทั่วภูมิภาคของประเทศไทยร้อนกันถ้วนทั่ว ทั้งยังคาดการณ์กันว่าปีต่อ ๆ ไปอุณหภูมิก็น่าจะสูงขึ้นอีก จึงไม่แปลกที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายนปีนี้จะส่งผลให้ฤดูฝนของปี 2566 น่าจะล่าช้า และค่าฝนตกเฉลี่ยคงจะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา

ทั้งยังทำให้เกิดคลื่นความร้อน รวมถึงเกิดปัญหาภัยแล้งเป็นบริเวณกว้าง และอาจรุนแรงติดต่อกันถึง 3 ปี

ผลเช่นนี้ จึงทำให้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ดำเนินโครงการ “ปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” เพื่อเผชิญกับปัญหาภัยแล้งมาเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว เพราะมองเห็นว่าปัญหาขาดแคลนน้ำเป็นปัญหาสำคัญต่อเกษตรกรโดยรวม ทำให้บริษัทสามารถแบ่งปันน้ำปุ๋ยเพื่อมารดพืชผลทางการเกษตรให้กับเกษตรกรจนแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ ฟาร์มสุกรจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ที่ริเริ่มโครงการปันน้ำปุ๋ย เมื่อ 17 ปีก่อน จากจุดเริ่มต้นของปัญหาภัยแล้ง และน้ำจากแม่น้ำปิงยังเข้าไม่ถึง ส่งผลให้พี่น้องเกษตรกรทำการเกษตรไม่ได้

ขณะที่ฟาร์มจอมทองมีระบบใช้น้ำหมุนเวียนภายในฟาร์ม ไม่ปล่อยน้ำออกสู่ภายนอกดังเช่นฟาร์มของบริษัททั่วประเทศ ใช้น้ำปุ๋ยจากบ่อบำบัดสุดท้ายหลังออกมาจากระบบไบโอแก๊ส (biogas) สำหรับรดน้ำต้นไม้ และสวนหย่อมในฟาร์ม

เมื่อเกษตรกรสังเกตว่าแม้จะอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่ต้นไม้ในฟาร์มกลับเขียวชอุ่ม ไม่เคยมีปัญหาแล้ง จึงขอนำน้ำปุ๋ยไปใช้เพื่อแก้ปัญหานี้ ทางฟาร์มจึงต่อท่อน้ำไปถึงหน้าไร่-สวน ปัจจุบันมีเกษตรกรรับน้ำรวม 13 ราย

“พันธนา สิงห์ทะ” หนึ่งในเกษตรกรผู้ใช้น้ำเป็นรายแรก ๆ บอกว่า ก่อนจะร่วมโครงการ พื้นที่ทั้งหมดปลูกพืชแทบไม่ได้เลย ถึงปลูกได้ก็ไม่งาม เพราะพื้นที่เป็นดินทราย แต่หลังจากได้น้ำปุ๋ยของฟาร์มจอมทองมาใช้แล้ว เห็นผลผลิตดีก็ใช้มาตลอด ทั้งการใช้เพาะปลูกข้าวโพดผลผลิตก็เพิ่มขึ้นดีมาก

ส่วนการปลูกพริก ปลูกมะเขือ ก็ไม่ต้องใช้ปุ๋ยเลย และยังเคยลองปลูกเปรียบเทียบกัน โดยแปลงหนึ่งใช้น้ำปุ๋ย อีกแปลงไม่ใช้ เห็นผลที่แตกต่างชัดเจน แปลงที่ไม่ใช้ปุ๋ย พืชผลจะไม่งาม แม้แต่ตอนใช้ปุ๋ยเคมี ผลผลิตยังไม่ดีเท่าน้ำปุ๋ย เกษตรกรจึงตั้งชื่อว่าน้ำวิเศษ

อันสอดคล้องกับ “อินทัน สิงห์ทะ” เกษตรกรผู้ปลูกพืชผักและสวนผสม กล่าวว่า หากไม่ใช้น้ำปุ๋ยผลผลิตจะไม่ดีเท่าที่ควร น้ำที่ได้รับนี้มีประโยชน์มาก ประหยัดต้นทุน พืชผลเจริญเติบโตดี เพราะในน้ำมีแร่ธาตุที่เหมาะกับพืช หากไม่ใช้จะต้องมีค่าใช้จ่ายซื้อปุ๋ยเคมี แต่ตอนนี้ไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีแล้ว พืชผลเติบโตสมบูรณ์ดี สามารถปลูกพืชได้ตลอดปี ไม่เคยขาดน้ำ และไม่เคยประสบกับปัญหาภัยแล้งอีกเลย

ส่วนที่ฟาร์มสุกรปราจีนบุรี อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ที่จัดโครงการน้ำปุ๋ยให้กับเกษตรรอบข้างมานานกว่า 15 ปี ปัจจุบันมีเกษตรกร 6 รายรับน้ำไปใช้ต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือ “นิมนต์ วงษ์แก้ว” บอกว่า ตนเองรับน้ำปุ๋ยมาตั้งแต่ปี 2556 หลังจากเห็นตัวอย่างฟาร์มอื่น ๆ ของบริษัทที่จัดโครงการปันน้ำปุ๋ย จึงขอรับน้ำมารดดินเตรียมปลูกมันสำปะหลัง พบว่าได้หัวมันใหญ่ ให้ผลผลิตเยอะ จึงใช้มาตลอด

“ตอนหลังเปลี่ยนมาปลูกผักสวนครัว มะเขือ แตงกวา ก็งามเหมือนกัน โดยไม่ได้ใส่ปุ๋ยชนิดอื่น จากนั้นปลูกมะพร้าวโดยทำร่องขังน้ำไว้ ปรากฏว่ามะพร้าวงาม จากปกติ 7-8 ปีถึงจะติดลูก แต่ที่สวนปลูกแค่ 4-5 ปี ก็เก็บผลผลิตได้ จากนั้นจึงปลูกกล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ ข่า ตะไคร้ ชะอม ก็ได้ผลดีอีก ตอนนี้ปลูกยูคาฯได้ไม่ถึงปี ต้นโตดี เพราะได้น้ำปุ๋ยชั้นดี ค่าปุ๋ยก็ไม่ต้องเสีย”

ทางด้านฟาร์มสุกรนนทรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ที่แบ่งปันน้ำให้เกษตรกร 9 ราย สำหรับใช้ปลูกอ้อย ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ยูคาฯ หญ้าเลี้ยงสัตว์ พืชสวนครัว โดยพื้นที่ 2-3 กิโลเมตรรอบฟาร์ม จะต่อท่อน้ำให้เกษตรกร ส่วนพื้นที่ไกลกว่านั้น เกษตรกรจะมาสูบน้ำไปใช้เอง นอกจากนี้ ฟาร์มยังแบ่งปันกากมูลสุกรหลังการบำบัดจาก biogas ให้เกษตรกรด้วย

“อ๊อด ปัตธิสามะ” เกษตรกรผู้รับน้ำปุ๋ยเป็นรายแรกตั้งแต่ปี 2558 เล่าว่า เนื่องจากเกิดปัญหาภัยแล้ง ไม่มีน้ำประปา สวนของผมอยู่ติดฟาร์มนนทรี ผู้จัดการฟาร์มจึงแนะนำให้ลองใช้น้ำปุ๋ยที่มีแร่ธาตุเหมาะสมกับต้นพืช โดยใช้รดต้นยูคาฯกับมะละกอ รวมถึงสวนผสม ทั้งสวนพริก ฟักทอง เผือก ซึ่งได้ผลดี จึงใช้น้ำมาตลอด ไม่ต้องหาน้ำจากแหล่งอื่น พืชผลงามได้ผลผลิตดีมาก ที่ผ่านมาแทบไม่ต้องใช้ปุ๋ยเลย ลดค่าปุ๋ยได้มากกว่า 70%

โครงการนี้ดีมาก ได้น้ำปุ๋ยที่มีแร่ธาตุเหมาะสม ขอบคุณฟาร์มที่ปันน้ำให้ และยังสนับสนุนรับซื้อผลผลิตจากสวน เพื่อนำไปปรุงอาหารให้กับพนักงานด้วย

ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของความสำเร็จจากการบริหารจัดการน้ำของซีพีเอฟ และจากความมุ่งมั่นในการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตลอดห่วงโซ่การผลิต เพื่อลดของเสียในกระบวนการผลิต รวมถึงการเปลี่ยนของเสียให้กลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ อันสอดรับกับ BCG Model ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (bio economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (green economy)

โดยเฉพาะความสำเร็จจากธุรกิจสุกรที่ดำเนิน “โครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” รอบข้างฟาร์มมานานกว่า 20 ปี ปัจจุบันต่อยอดสู่ธุรกิจไก่ไข่ ด้วยการนำน้ำที่ผ่านการบำบัดระบบผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลไก่ ให้เกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงนำไปใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูก

ภายใต้หลักการ 3Rs ด้วยการลดปริมาณการใช้น้ำดิบจากธรรมชาติ (reduce) นำน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัดแล้วกลับมาใช้ซ้ำ (reuse) และนำกลับมาใช้ใหม่ (recycle) เพื่อให้กระบวนการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม


ตามเป้าหมายความยั่งยืน “CPF 2030 Sustainability in Action” ที่สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs)