คอลัมน์ HR Corner
โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ http://tamrongsakk.blogspot.com
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
คำถามแบบนี้เริ่มมีเข้ามามากขึ้น และเรื่องนี้คงทำให้คนที่เป็นหัวหน้า หรือผู้บริหารรู้สึกอิหลักอิเหลื่ออยู่ไม่น้อย เพราะเดี๋ยวนี้โลกออนไลน์พัฒนาไกลมากแล้ว หลายคนก็มีธุรกิจขายของบนเฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม และก็มักจะเริ่มจากการทำเป็นอาชีพเสริม (ที่เรียกกันว่าทำเป็นไซด์ไลน์) พร้อม ๆ กับทำงานประจำไปด้วย
ถ้าเป็นอาชีพเสริมหลังเลิกงาน หรือวันหยุดคงไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่นี่มาโพสต์ขายของ, ตอบคำถามลูกค้า, แจ้งอินบอกซ์ต่อรองราคากันในเวลาทำงานนี่สิ ทำให้หัวหน้าอดไม่ได้ที่จะต้องตักเตือนกัน แต่ก็มีเสียงโต้จากลูกน้องมาว่า…เงินเดือนบริษัทให้น้อย ไม่พอกิน หนูก็ต้องหารายได้เสริมบ้างน่ะสิ หนูต้องรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งบ้านนะพี่
หรือ…แหม…แค่โพสต์เฟซแป๊บเดียวเอง มาจ้องจับผิดอะไรกันนักหนา งานก็ไม่ได้เสียหายสักหน่อย
หรือ…ผมไม่ได้ร่ำรวยเหมือนพี่นี่ ฯลฯ
ผมว่าเรื่องแบบนี้เริ่มมีมากขึ้น และมีการตั้งกระทู้เหมือนหัวเรื่องนี้ถี่ขึ้นในโลกออนไลน์
ผมจึงนำความคิดเห็น (บางส่วน) ของผู้คนจากกระทู้ทำนองนี้มาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งมีทั้งคนเห็นว่าไม่เป็นอะไรเลย และคนที่เห็นว่าไม่เหมาะสมดังนี้ครับ
1.ถ้าไม่กระทบกับงานหลัก ไม่ขัดกับธุรกิจที่บริษัททำอยู่ ก็ปล่อยเขาไปเถอะ ถ้าไม่อยากให้เขาทำอย่างงี้ก็ขึ้นเงินเดือนให้เขาซะ
2.ในเวลางานต้องทำงานให้นายจ้าง ให้ทำได้ตอนพัก
3.ถ้าไม่กระทบกับงานหลักก็ปล่อยเขา คนเรารายได้ไม่พอกินก็ต้องหารายได้เสริมกันบ้าง
4.ปล่อยให้เขาขายไปเหอะ ทีหัวหน้ายังขายของออนไลน์ในเวลางานให้เห็นอยู่ทุกวันเลย
5.เดี๋ยวนี้อาชีพเสริมเขาทำกันเกือบทุกคน อยู่ที่ว่าทำแบบไหน ผู้บริหารระดับหัวหน้าบางคนคุยโทรศัพท์ก็ใช่ว่าจะคุยเรื่องงานในบริษัท อาจคุยเรื่องธุรกิจส่วนตัวที่ไปลงทุนไว้ หรือเล่นหุ้นก็ได้
6.ไม่ให้ทำ ก็ให้ฝ่ายบุคคลจัดการได้ เรื่องนี้ต้องใช้ฝ่ายบุคคลทำ เรามีวิธีการตักเตือน และใช้สิ่งแวดล้อมมาปรับพฤติกรรมพนักงานได้
7.ตามหลักในเวลางานควรจะทำงานตามหน้าที่ ถ้าเขามีเวลาว่างไปขายของออนไลน์ก็เป็นความบกพร่องของนายจ้างส่วนหนึ่งที่ไม่ตักเตือน เพราะกระทบกับงานหลักอยู่แล้ว สมาธิจะไม่อยู่กับงานประจำ
8.สามารถตักเตือนด้วยวาจา หรืออาจจะด้วยหนังสือ เพื่อเป็นการสร้างวินัยในสำนักงาน สำหรับเหตุผลที่ว่าเงินเดือนไม่พอใช้ ลูกจ้างสามารถพูดให้เราเห็นใจได้ แต่เราไม่ควรเห็นใจ
ฯลฯ
ข้อความข้างต้นนี้เป็นแค่เพียงน้ำจิ้มตัวอย่างของความคิดเห็นของคนในยุคนี้
ซึ่งในบางความเห็นก็มีประเด็นน่าสนใจเช่นในข้อ 4 และข้อ 5 ข้างต้นที่บอกว่าหัวหน้าก็ขายของออนไลน์เหมือนกัน หรือผู้บริหารก็เล่นหุ้นในเวลางานเหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกน้องขายของออนไลน์ในเวลางาน
เรียกว่าใช้กฎ “me too” เลยนะครับ หัวหน้าทำได้ ลูกน้องก็ทำมั่งสิ
ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง เพราะคิดว่าเราจะต้องเจอปัญหาทำนองนี้เพิ่มมากขึ้นตามยุคสมัย และอยากจะให้ท่านที่เกี่ยวข้องได้ลองกลับไปคิดดูให้ดีว่าเราจะรับมือกับเรื่องนี้กันอย่างไรดี
การแก้ปัญหานี้ถ้ามองในมุมของ HR ก็ต้องว่ากันไปตามวินัย และการลงโทษของบริษัทแหละครับ ซึ่งมักจะขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารของแต่ละบริษัทที่จะมีวิธีปฏิบัติแบบ “เข้ม” แบบเด็ดขาด คือเลิกจ้างกันไปเลย
เพราะการเบียดบังเวลางานไปใช้ในการขายของออนไลน์ เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองนี่เข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ถูกเลิกจ้างได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเลยนะครับ
หรือจะใช้มาตรการ “จากเบาไปหาหนัก” คือพูดจาตักเตือนกันก่อน ไปจนถึงการลงโทษที่หนักขึ้นตามขั้นตอนทางวินัยที่บริษัทกำหนดจนที่สุดคือการเลิกจ้าง
ถ้าใครมีไอเดียดี ๆ ที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็แชร์ความรู้เล่าสู่กันฟังบ้าง คงจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังเจอปัญหานี้อยู่นะครับ