ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ยกระดับโฮมสเตย์-ท่องเที่ยวชุมชน

เพราะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ผู้นำการลงทุนในโรงแรมและรีสอร์ตในประเทศไทยและอาเซียน “ดิ เอราวัณ กรุ๊ป” จึงมุ่งเน้นการทำกิจกรรมเพื่อสังคมที่สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญของธุรกิจเป็นสำคัญ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้จับมือกับโลเคิล อไลค์ (Local Alike) เข้าไปพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการ Happy Home Happy Stay พักสบายกาย เที่ยวสบายใจ

“เพชร ไกรนุกูล” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าด้วยธุรกิจมีแบรนด์ “ฮ็อป อินน์” ขยายสาขาไปในหลายจังหวัด จึงมองว่าจะทำอย่างไรเพื่อช่วยพัฒนาชุมชนที่บริษัทเข้าไปทำธุรกิจนั้นมีการเติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งได้เจาะไปที่การท่องเที่ยวชุมชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้ดีขึ้นในภาพรวม

“ด้วยความที่เราไม่มีประสบการณ์ด้านชุมชน จึงมาทำงานกับโลเคิล อไลค์ ให้เขาเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งได้เข้าไปศึกษาชุมชนกุฎีจีนก่อน ทำให้เห็นภาพการท่องเที่ยวชุมชนมากขึ้น หลังจากนั้นก็มาหาว่าชุมชนไหนที่น่าสนใจ โดยมีเกณฑ์พิจารณาคือชุมชนต้องเข้มแข็งระดับหนึ่ง มีสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว และได้มาเจอบ้านแหลมโฮมสเตย์ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ที่มีทะเล มีสปาโคลน และอาหารทะเลจากชุมชน เหล่านี้เป็นจุดเด่นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อยู่แล้ว”

กระนั้น ในแง่ของโฮมสเตย์หรือบ้านพักยังไม่มีเอกลักษณ์ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จึงมองว่าจะสามารถเข้ามาเติมเต็มอะไรได้บ้าง เพื่อให้ชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งด้วยจุดแข็งของบริษัทคือการบริการโรงแรม จึงนำองค์ความรู้ด้านการจัดการที่พักและบริการตามมาตรฐานโรงแรมมาปรับใช้กับโฮมสเตย์ชุมชน ด้วยการอบรมทักษะการบริการนักท่องเที่ยว, การปรับปรุงโฮมสเตย์, การปรับทัศนียภาพโดยรอบ และการป้องกันอัคคีภัยและการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

“ทักษิณ หมินหมัน” ตัวแทนชุมชนบ้านแหลม อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เล่าว่าก่อนหน้านี้ชุมชนมีปัญหายาเสพติด และความยากจน ซึ่งมองว่าการจะแก้ปัญหาข้างต้นได้ ชาวบ้านต้องมีรายได้เสริม เพื่อมีเงินมาพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น จึงจับเรื่องการท่องเที่ยวชุมชน เพราะเป็นแนวทางที่สามารถให้คนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมได้มากที่สุด

โดยปัจจุบันบ้านแหลมโฮมสเตย์มีบ้านพักที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานจากกรมการท่องเที่ยวจำนวน 8 หลัง รวมถึงมีกิจกรรมหลากหลาย เช่น ล่องเรือในอ่าวทองคำพร้อมจิบกาแฟชมแสงแรกของพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า, การปลูกป่าโกงกาง, สัมผัสสปาโคลนธรรมชาติ พร้อมชิมเมนูจากวัตถุดิบท้องถิ่น อย่างข้าวหมักโคลน และขนมปาดา

“10 เดือนที่ผ่านมา เรือประมงมีรายได้เสริมจากการท่องเที่ยว 45,000 บาทต่อลำ ตอนนี้มีเรือที่เข้าร่วม 15 ลำ สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ครั้งละ 50-60 คน ส่วนโฮมสเตย์ก็จะมีการส่งบ้านอีก 10 หลังเข้าร่วมการประเมินในปีหน้า คาดว่าจะผ่านเกณฑ์ทั้งหมด”

จากการดำเนินงานมา 6 ปี บ้านแหลมโฮมสเตย์ได้รับการยอมรับระดับประเทศ โดยชนะรางวัลชนะเลิศ การประกวดชุมชนชวนเที่ยว ตอนชุมชนชวนชิม ประจำปี 2561 จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และคว้ารางวัลที่ 3 จากการประกวดโครงการจีเอสบี สมาร์ท โฮมสเตย์มีสไตล์ ให้เป็นสุดยอดแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่ไม่ควรพลาด ซึ่งจัดโดยธนาคารออมสิน

“การพัฒนาโฮมสเตย์ให้ได้มาตรฐานสร้างประโยชน์กับเราทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะเป็นการพัฒนาบ้านให้ดีขึ้น และให้ความสำคัญกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งเรื่องความสะอาด หรือการจัดเตรียมตู้ยาสามัญประจำบ้านสำรองไว้เผื่อเจ็บป่วย ขณะเดียวกัน เมื่อการท่องเที่ยวชุมชนได้รับการตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยว ก็มีเงินเข้ามาหาชุมชน ทำให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตดีกว่าเดิม อีกทั้งช่วยลดปัญหาเรื่องความยากจน และยาเสพติด เหมือนมาช่วยไล่น้ำเสียออกจากชุมชน”

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

“ทักษิณ” บอกว่าเขาได้ต่อยอดการทำโฮมสเตย์มาสู่การจัดตั้งกองทุนชุมชน เพื่อให้ชาวบ้านมีเงินเก็บ และไม่ต้องกังวลหากไม่สามารถออกทะเลไปทำประมงได้ โดยจะหักเงินส่วนหนึ่งจากรายได้ที่ได้รับจากการบริการนักท่องเที่ยว เช่น เมื่อนักท่องเที่ยวมาใช้บริการเรือ ก็หักเงิน 10% มาใส่เข้ากองทุน ตอนนี้มีเงินในกองทุนกว่า 50,000 บาท จากสมาชิกประมาณ 50 คน โดยพวกเขาสามารถยืมเงินไปใช้ได้ทันทีในกรณีฉุกเฉินอย่างการซ่อมเรือ เพราะเรือเสียและไม่สามารถออกทะเลได้

“ภาพที่อยากเห็นต่อจากนี้คือชุมชนอนุรักษ์วิถีของตัวเองไว้ให้คงเดิม ทั้งเรื่องอาชีพ อาหาร และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราใช้การท่องเที่ยวมาเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกเรื่องนี้ ยกตัวอย่างการให้นักท่องเที่ยวมาปลูกป่าโกงกาง หรือการอนุรักษ์ปูไข่ เมื่อนักท่องเที่ยวมาทำให้เห็น ชาวบ้านก็จะเกิดการซึมซับ และร่วมอนุรักษ์ชุมชนไปในตัว”

“เพชร” ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าในส่วนของโครงการ Happy Home Happy Stay จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มองไว้ว่าพื้นที่ถัดไปคือจังหวัดเชียงราย ซึ่งด้วยรูปแบบหรือแผนงานที่มีอยู่แล้วในการปรับปรุงและพัฒนาการบริการ รวมถึงห้องพัก ทำให้สามารถนำไปปรับใช้กับโฮมสเตย์อื่นได้ทันที ทำให้ระยะเวลาการทำงานในแต่ละพื้นที่สั้นลง และเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว

“โครงการนี้จะเป็นกิจกรรมหลักของเราเลย และจะเข้าไปปักธงในทุกจังหวัดที่มีฮ็อป อินน์ เพราะมองว่าเมื่อเราเข้าไปทำธุรกิจในจังหวัดนั้น ๆ แล้ว ก็ต้องช่วยสร้างความน่าสนใจให้กับจังหวัดมากยิ่งขึ้น นอกจากการพัฒนาโฮมสเตย์ เรายังนำโบรชัวร์ท่องเที่ยวของชุมชนไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์โรงแรม ถือว่าเป็นการโปรโมต และช่วยสร้างตัวเลือกในการทำกิจกรรมใหม่ ๆ ให้นักท่องเที่ยวด้วย”

ในทางเดียวกัน ยังสะท้อนกลับมาถึงธุรกิจขององค์กร เพราะเมื่อชุมชนในพื้นที่ธุรกิจมีการพัฒนา และเศรษฐกิจดีขึ้นจากการท่องเที่ยว ก็ย่อมส่งผลให้ธุรกิจของดิ เอราวัณ กรุ๊ป เติบโตต่อไปเช่นกัน

 

ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลยพิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat 

หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!