จากโปรเจ็กต์วิ่งสู่มูลนิธิ คิง เพาเวอร์ชู “ก้าวคนละก้าว” คัมแบ็ก

จาก 2 สาเหตุสำคัญที่ทำให้โรงพยาบาลในประเทศไทย ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้มากเกินกว่าศักยภาพที่มีอยู่ คือ งบประมาณที่จัดสรรจากภาครัฐมีไม่เพียงพอ และจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นทุกปี ได้กลายเป็นปัญหาสะสมและยากเกินกว่าที่จะแก้ไขจากเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น จากปัญหาดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของ “อาทิวราห์ คงมาลัย” หรือตูน บอดี้สแลม พร้อมด้วยทีมงาน ได้ร่วมสร้างโครงการก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ที่รวมพลังรวมใจวิ่งจากอำเภอเบตง จังหวัดยะลา มาสิ้นสุดที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย รวมระยะทางทั้งสิ้น 2,215 กิโลเมตร และมีผู้พร้อมสนับสนุนตูน บอดี้สแลมในทุกก้าวที่วิ่งไปจากใต้จดเหนือ เพราะเห็นความสำคัญของการเข้าถึงการรักษาพยาบาล

จนถึงวันนี้คิง เพาเวอร์และตูน บอดี้สแลม กำลังจะเริ่มวิ่งด้วยกันอีกครั้ง…

ผู้สนับสนุนทุกก้าวให้กับโครงการนี้อย่าง “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์ ระบุว่า ที่ผ่านมาคิง เพาเวอร์และพันธมิตรได้มอบเงินสนับสนุนทั้ง 2 โครงการ คือ โครงการก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาล รวมเงินจำนวน 100 ล้านบาท เมื่อวิ่งผ่านกรุงเทพฯได้เปิดบ้านเพื่อต้อนรับนักวิ่ง และได้มอบเงินรวม 27 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการจัดทำภาพยนตร์เรื่อง “2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว” ภาพยนตร์ไทยแนวสารคดี ที่ว่าด้วยเรื่องราวการวิ่งระยะไกลของตูน บอดี้สแลม ในโครงการก้าวคนละก้าว ตั้งแต่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา จนถึงอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย รวม 750,000 ที่นั่งทั่วประเทศ

“ผมสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นตั้งใจจริง เพื่อทำสิ่งที่มีค่าและเป็นประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับสังคมไทย สำหรับตูน บอดี้สแลม ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน รู้สึกว่าความตั้งใจของเขาสอดคล้องกับปณิธานของโครงการคิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทย เชื่อในพลังแห่งความมุ่งมั่นตั้งใจทำตามความฝันอย่างไม่ย่อท้อ ฉะนั้นจึงทำให้ใคร ๆ ก็ต่างเรียกตูน บอดี้แสลมว่าฮีโร่”

ประธานมูลนิธิก้าวคนละก้าว กล่าวอีกว่า หลังจากเปิดตัวโครงการก้าวคนละก้าวในปี 2559 จนถึงตอนนี้ ต้องขอบคุณพลังเล็ก ๆ จากทุกคน ที่เชื่อมั่น พร้อมสนับสนุนโครงการก้าวคนละก้าวมาตลอดตั้งแต่ก้าวแรกไปจนถึงก้าวสุดทางที่แม่สาย หลังจากจบโครงการก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา ยังคงได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านสาธารณสุขที่ยังขาดแคลนทรัพยากรและเครื่องมือที่จำเป็นในการดูแลรักษาผู้ป่วยเข้ามามากมาย

“ตอนนี้เรามีแนวคิดที่จะเปลี่ยนจากโครงการก้าวคนละก้าว ให้เป็นมูลนิธิก้าวคนละก้าว เพื่อให้สามารถช่วยเหลือสังคมได้อย่างยั่งยืน และเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะนำเสนอแนวคิด ข้อมูลสาระที่เป็นประโยชน์ และสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อช่วยส่งเสริมให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายดูแลรักษาสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงเพื่อลดภาระของโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบพระคุณอย่างยิ่งที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ พร้อมสนับสนุนพลังคนไทย เพื่อคนไทย สร้างแรงบันดาลใจเพื่อประโยชน์สุขของสังคมต่อไป”

ทั้งนี้ “อัยยวัฒน์” ได้กล่าวถึงเป้าหมายของมูลนิธิก้าวคนละก้าวที่จะเกิดขึ้นในปี 2562-2563 โดยจะมุ่งเน้นให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการออกกำลังกาย ผ่านกิจกรรมวิ่งการกุศล 5 ภาค ในเดือนมิถุนายนปี 2562 เริ่มจากภาคอีสาน ต่อด้วยภาคใต้ ไปยังภาคเหนือ สู่ภาคตะวันออก และภาคกลางตามลำดับ รวมระยะทางทั้งสิ้น 200 กิโลเมตรต่อภาค ในเวลาเพียง 2 วัน เริ่มจากวันเสาร์และสิ้นสุดที่วันอาทิตย์ และจะใช้รูปแบบวิ่งผลัด ในระยะทาง 10 กิโลเมตรแรกจะเป็นส่วนของคิง เพาเวอร์ จากนั้นส่งต่อให้อีกคนวิ่งไปอีก 10 กิโล เรื่อย ๆ จนครบ ในการวิ่งครั้งนี้ได้ตั้งเป้าสร้างสถิติมีผู้ร่วมวิ่งใน 10 กิโลเมตรสุดท้ายของแต่ละภาคให้ได้มากที่สุด

สำหรับเป้าหมายของโครงการก้าวคนละก้าวในปีนี้ ต้องการช่วยเหลือโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็ก ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นทุกด้าน เพื่อลดการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลศูนย์ และที่สำคัญคือ ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นอกจากการจัดกิจกรรมต่าง ๆ แล้ว มูลนิธิยังมุ่งหวังเป็น “พื้นที่ของการให้”

ผ่านการทำคอนเทนต์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ หรือให้ข้อมูลความรู้เพื่อให้ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพ ตลอดจนการนำเสนอเรื่องราวความขาดแคลนในสถานที่ต่าง ๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือผ่านทุกช่องทางโซเชียล อย่างเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม และยูทูบ

“อัยยวัฒน์” กล่าวในช่วงท้ายว่า จากก้าวแรกจนถึงวันนี้ได้รับการบริจาคจากคนทั้งประเทศกว่า 1,400 ล้านบาท และสำหรับโครงการล่าสุด คิง เพาเวอร์ได้มอบเงินรวม 20 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนตั้งต้นในการใช้กิจกรรมต่าง ๆ ของมูลนิธิในอนาคต เพราะเชื่อมั่นในพลังเล็ก ๆ และศักยภาพของคนไทย ที่พร้อมจะร่วมก้าวไปด้วยกันอย่างเต็มกำลังอีกครั้ง