ความสามารถไม่คุ้มเงินเดือน

คอลัมน์ HR Corner

โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ http://tamrongsakk.blogspot.com

เดี๋ยวนี้ผมมักจะได้ยินได้ฟังเรื่องคำถามทำนองนี้ค่อนข้างบ่อยครับ…”เพิ่งจบปริญญาตรี การตลาด ตอนนี้ได้เงินเดือนหมื่นห้า อีกกี่ปีถึงได้จะห้าหมื่น”

“จบวิศวะไฟฟ้าจาก ม.ของรัฐไม่ดังนัก เกรดเฉลี่ย 2.3 จะได้เงินเดือนถึงแสนบาทอีกกี่ปี”

“เพิ่งจบ เข้าทำงานที่บริษัท…อีกกี่ปีถึงจะได้เป็นผู้จัดการ”

ซึ่งผมเชื่อว่าคนที่จะต้องเป็นผู้สัมภาษณ์ผู้สมัครงานทั้ง Line Manager หรือ HR เองคงจะเคยได้ยินคำถามทำนองนี้จากผู้สมัครงาน หรือน้อง ๆ ที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่

แล้วจะตอบคำถามนี้ยังไงดี ?

คนที่เป็นสายฮาร์ดคอร์พูดจาขวานผ่าซากซะหน่อยคงจะตอบสวนไปทันที

“โอ๊ย…ฝันไปเถอะน้องพี่จบมาก่อนตั้งนานตอนนี้ยังได้สองหมื่นกว่าเอง ถ้าอยากได้มากกว่านี้น้องไปเป็นดาราจะดีกว่ามั้ง”

หรือถ้าเป็นสายพิราบเสียหน่อยคงจะถามว่า…แล้วน้องคิดว่าน้องมีความสามารถอะไรที่จะแสดงให้บริษัทเห็นละว่าน้องควรจะได้ห้าหมื่น

ต้องยอมรับนะครับว่า ยุคนี้เป็นยุคของคนรุ่นใหม่ไฟแรง Gen Y Gen Z เป็นยุคที่ต้องการความรวดเร็วฉับไว มั่นใจสูง วัตถุนิยม กล้าคิด กล้าเสี่ยง กล้าตัดสินใจ แถมเป็นยุคของโซเชียลมีเดีย (social media) ที่ข้อมูลข่าวสารรวดเร็ว มีสื่อออนไลน์ ไลฟ์ได้ทุกที่ทุกเวลา

ดังนั้น เมื่อเพื่อนคนไหนได้ up เงินเดือนขึ้นหรือประสบความสำเร็จอะไร ก็จะส่งถึงกันทันทีทำให้เกิดการเปรียบเทียบกันในเชิงวัตถุนิยมได้ง่ายและรวดเร็ว เข้าทำนอง “เงินเดือนของเราได้เท่าไหร่…ไม่สำคัญเท่ากับเพื่อนได้เท่าไหร่” ถ้าเราได้เงินเดือนน้อยกว่าเพื่อนก็จะรู้สึกเสียเซลฟ์

แน่นอนว่าทุกคนที่ทำงานต่างก็ต้องการอยากได้เงินเดือนเยอะ ๆ อยากที่จะก้าวหน้าได้เลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งในระยะเวลาที่รวดเร็วกว่าคนอื่นกันทั้งนั้นแหละ และคนที่จะพิจารณาเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งหรือปรับเงินเดือนให้กับพนักงานก็คือผู้บริหารขององค์กรนั้น ๆ

แล้วเขาจะเอาอะไรมาเป็นข้อพิจารณาในการปรับเลื่อนตำแหน่งหรือเงินเดือนล่ะ ?

คงหนีไม่พ้นเรื่องหลัก ๆ ก็คือ “ผลงาน” และ “ความสามารถ” จริงไหมครับ ?

ผมถึงอยากให้ข้อคิดสำหรับคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่ชอบตั้งคำถามแบบข้างต้นเอาไว้อย่างนี้

1.มีคำพูดหนึ่งจากผู้บริหารหลายคนที่บอกกับผมว่า “ไม่เก่งงาน ไม่รู้งานไม่เป็นไร สอนได้

สำคัญว่าเด็กมีความอดทนพอที่จะเรียนรู้งานหรือเปล่า” เพราะคนในรุ่นก่อน ๆ อยู่ในยุคคนง้องาน (เพราะงานหายาก) จึงต้องมีความอดทน และขวนขวายที่จะเรียนรู้ หรือแสวงหาความรู้ในงาน สะสมความรู้ความสามารถให้รู้ลึกรู้จริงในงาน ต้องยอมที่จะได้รับค่าจ้างเงินเดือนที่ไม่มากนักเพียงเพื่อให้ได้เรียนรู้งานให้มากที่สุด เพื่อจะได้นำงานที่เรียนรู้นั้นกลับมาเป็นประโยชน์ต่อความเจริญก้าวหน้าของตัวเองในวันข้างหน้า หรือเรียกว่า “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน”

ซึ่งคนรุ่นใหม่คงต้องถามตัวเองด้วยว่า ถ้าเราเป็นนายจ้างเราอยากจะขึ้นเงินเดือนให้กับคนแบบไหน ระหว่างคนที่มีความรู้ความสามารถมีผลงาน หรือเราควรจะขึ้นเงินเดือนให้กับคนที่ทำงานเหมือนเดิมไม่มีการพัฒนาตัวเองคอยแต่จะเรียกร้องขอเงินเดือนขึ้นอย่างเดียว ?

2.เมื่ออดเปรี้ยวไว้กินหวานเพื่อสะสมความรู้ความสามารถในงานแล้ว แน่นอนว่าความสามารถก็จะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่ผ่านไป ซึ่งปัจจุบันก็เรียกกันว่า “competency” ประกอบด้วย ความรู้ (knowledge) ในงานที่รับผิดชอบ, ทักษะ (skills) คือความชำนาญในการลงมือปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี และ คุณลักษณะภายใน (attributes) ที่ดีที่จะมีส่วนสำคัญให้งานประสบความสำเร็จ เช่น ความขยัน, ความอดทน, ความรับผิดชอบ ฯลฯ โดย competency หรือ K S A นี่แหละครับที่จะมีผลต่อพฤติกรรมของคน ทำให้คนคนนั้นทำงานประสบความสำเร็จตามที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดี และมีผลงานออกมาที่น่าพอใจ

3.เมื่อมี competency แล้วก็จะสามารถรับผิดชอบงานที่อยู่ตรงหน้าตามที่ได้รับมอบหมายให้บรรลุเป้าหมายได้เป็นอย่างดี แล้วลองกลับมาทบทวนดูสิครับว่าเรามีผลงานอะไรที่เป็นผลงานที่คนรอบข้าง (ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า) ยอมรับว่านี่คือผลงานของเรา พอพูดถึงงานชิ้นนี้ทุกคนก็จะต้องยอมรับและบอกว่านี่แหละผลงาน (portfolio) ของเรา และตอนนี้ผลงานที่น่าภูมิใจของเรามีมาก-น้อยแค่ไหนแล้ว

4.เมื่อมีความพร้อมทั้งความสามารถ (competency) ผลงาน (performance) แล้วก็จะมีพื้นฐานที่แน่นในเรื่องงานและเติบโตแบบยั่งยืน ย่อมจะเป็นดาวเด่น (talent หรือ star) ในองค์กรที่ไม่ว่าจะผู้บริหารภายในก็จะเห็นแววหรือศักยภาพในตัวท่าน หรือแม้แต่องค์กรภายนอกที่อยากจะส่งเทียบเชิญให้ไปร่วมงานด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ เข้าทำนองของดีใคร ๆ ก็อยากได้ ดังนั้น แทนที่จะถามคนอื่นว่าอีกกี่ปีฉันถึงจะได้เงินเดือนแสน ผมว่าลองกลับมาทบทวนดูว่าเรามีของ คือ “ผลงาน” และ “ความสามารถ” เป็นที่ต้องการของหน่วยงานหรือองค์กรมาก-น้อยแค่ไหนก่อนที่จะไปคิดให้ใครเขาปรับขึ้นเงินเดือนให้จะดีไหม เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวของเราเองไม่ใช่คนอื่นครับ


คนทุกคนมีสิทธิจะฝันที่อยากจะประสบความสำเร็จ ได้เงินเดือนเยอะ ๆ มีความก้าวหน้ากันทั้งนั้น แต่ถ้าเอาแต่ฝันแล้วขาดการลงมือทำด้วยความมุ่งมั่นจริงจังแล้ว ความฝันจะกลายเป็น “ความเพ้อฝัน” ในที่สุดครับ