Every Child Can Read

คอลัมน์ CSR Talk

เพื่อเป็นการรณรงค์ให้เด็กนักเรียนและประชาชนทั่วไป เห็นถึงความสำคัญของการอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญต่อการพัฒนาการเรียนรู้ และต่อยอดสู่ทักษะในด้านต่าง ๆ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย จึงร่วมกับบริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้บริหารเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และท็อปส์ เปิดตัวแคมเปญ “เด็กทุกคนอ่านได้” (Every Child Can Read)

ทั้งยังเดินหน้าสานต่อ “โครงการห้องสมุดเคลื่อนที่” ในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนหนังสือเด็กในบ้าน และการขาดทักษะด้านภาษา ตลอดจนการอ่านเขียนของเด็กในครอบครัวยากจนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร และร่วมสนับสนุนกิจกรรมอ่านสัปดาห์ละเล่ม (A Book A Week) ในโรงเรียนนำร่อง

“สเตฟาน คูม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กรุ๊ป และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด กล่าวว่า จากการที่บริษัทให้ความสำคัญและมีนโยบายในการยกระดับการศึกษาของเด็กไทยให้มีความเท่าเทียม ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ได้ร่วมกับองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย จัดกิจกรรมระดมทุนนำเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่เด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล

“โดยมีจุดมุ่งหมายให้เด็กทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม และที่ผ่านมาเราได้ส่งมอบเงินที่ลูกค้าร่วมบริจาคให้กับองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย รวมกว่า 37 ล้านบาท พร้อมส่งมอบรถห้องสมุดเคลื่อนที่รวมทั้งสิ้น 5 คันในการสนับสนุนการทำงานของยูนิเซฟที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่ชีวิตของเด็ก ๆ ในประเทศไทย เพื่อให้เด็กไทยมีโอกาสทางการศึกษาได้อ่านและเข้าถึงหนังสือที่เหมาะสมกับวัย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางการเรียนรู้ของเด็กอันเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึงทางการศึกษาที่เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต”

“ทั้งนั้น เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และท็อปส์ จึงได้ร่วมกับองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย จัดโครงการเด็กทุกคนอ่านได้ในการเชิญชวนลูกค้าและประชาชนทั่วไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเท่าเทียมทางการอ่านให้เด็กไทยทุกคน โดยการร่วมบริจาคเงินสมทบทุนผ่านบริการ CenPay ณ จุดแคชเชียร์และกล่องบริจาคที่ร้านเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์ และท็อปส์ เดลี่ ทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562-31 สิงหาคม 2565”

“โธมัส ดาวิน” ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า เพราะการอ่านมีส่วนช่วยพัฒนาทักษะทางการรับรู้ของเด็กได้อย่างมหาศาล อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ในอนาคต ซึ่งนอกจากจะกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของเด็กได้เป็นอย่างดีแล้ว ทั้งยังช่วยเพิ่มพูนคลังคำศัพท์ในสมอง และพัฒนาทักษะการสื่อสารต่อยอดสู่การคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและยังช่วยให้เด็กมีสมาธิที่ดีขึ้น

“การอ่านหนังสือเล่มแรก ๆ ที่สนุกสนานและดึงดูดใจเด็ก ๆ จะมีส่วนสำคัญให้พวกเขามีนิสัยรักการอ่านเมื่อเติบโตขึ้น และยิ่งพวกเขาได้อ่านหนังสือมากทักษะการอ่านจะได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งการอ่านทำให้เด็กมีความฉลาดทางสติปัญญามากขึ้น ทั้งยังช่วยให้พวกเขาได้พัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่อย่างโครงการเด็กทุกคนอ่านได้เป็นสิ่งที่ยูนิเซฟได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ทางการศึกษาเพื่อเข้าถึงเด็กและโรงเรียนด้วยกิจกรรมการอ่าน”

“ซึ่งจะเป็นการพัฒนาไปสู่นิสัยรักการอ่าน โดยเราตั้งใจที่จะจัดหาหนังสือเด็กที่เหมาะสมตามช่วงอายุหนังสือที่มีสาระน่าสนใจ รวมทั้งเอกสารการอ่านให้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโรงเรียนและครอบครัวที่ขาดแคลนทุนทรัพย์มีหนังสือไม่กี่เล่มหรือไม่มีหนังสือเลย และโครงการนี้ยังครอบคลุมไปถึงการจัดอบรมแก่ครูผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน และครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะการสอนให้เด็กได้มีพัฒนาการทางการเรียนรู้ของเด็กได้ดียิ่งขึ้น ยูนิเซฟต้องการที่จะให้การอ่านนั้นเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาในประเทศไทย”

“นิชคุณ หรเวชกุล” ในฐานะ Friend of UNICEF ที่ได้ร่วมพูดคุยกับนักเรียนโรงเรียนห่างไกล และรณรงค์การสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัวผ่านการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านแก่เด็กรุ่นใหม่ กล่าวว่า การที่พ่อแม่ได้อ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟัง หรืออ่านไปพร้อมกับลูกตั้งแต่พวกเขายังเล็ก ๆ นั้นถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญและมีค่ามาก

“แม้ในปัจจุบันพ่อแม่จะยุ่งมากแค่ไหน แต่ผมอยากให้ลองหาเวลาอย่างน้อย 15 นาทีต่อวัน อ่านหนังสือไปพร้อม ๆ กับลูกให้ได้ เพราะการอ่านหนังสือกับลูกจะช่วยวางรากฐานการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้แก่เด็ก ๆ อีกทั้งยังสร้างสายใยแห่งความผูกพันในครอบครัวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย”

สำหรับแคมเปญเด็กทุกคนอ่านได้ (Every Child Can Read) ได้เปิดตัวพร้อมกับการส่งเสริมกิจกรรมอ่านสัปดาห์ละเล่ม (A Book A Week) โดยความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อส่งเสริมให้เด็กไทยทั่วประเทศรักการอ่านหนังสือ และฝึกทักษะทางสังคมจากการร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นอย่างหลากหลาย

ขณะที่โรงเรียนที่ร่วมโครงการก็ได้ออกแบบกิจกรรมอย่างสร้างสรรค์ มีความสนุกสนานและท้าทายเพื่อกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้เข้าร่วม ทั้งยังนำสื่อออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กมาประยุกต์ใช้โดยให้เด็ก ๆ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวจากหนังสือที่อ่านพร้อมรูปถ่ายคู่กับหนังสือเล่มโปรดแล้วแชร์ผ่านแฮชแท็ก#อ่านสัปดาห์ละเล่ม

ส่วนโครงการเด็กทุกคนอ่านได้ยังเตรียมสนับสนุนการจัดสร้างมุมอ่าน (reading corner) ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยเริ่มที่เขตพื้นที่กรุงเทพมหานครควบคู่ไปกับการอบรมครู และผู้ดูแลเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้แก่เด็กอายุระหว่าง 3-5 ขวบ ด้านโครงการห้องสมุดเคลื่อนที่จะได้รับการสนับสนุนจากทั้งบริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด และเจ้าหน้าที่การศึกษาส่วนท้องถิ่นให้เกิดความต่อเนื่อง พร้อมขยายการเข้าถึงเด็กให้มากขึ้น

โดยรถห้องสมุดเคลื่อนที่พร้อมกับเจ้าหน้าที่บริการสื่อจะบรรทุกหนังสือและเอกสารการอ่านเดินทางไปยังโรงเรียนระดับอนุบาล และโรงเรียนระดับประถมศึกษาขนาดเล็กตามถิ่นทุรกันดารในจังหวัดแม่ฮ่องสอน, ตาก และเลย จำนวน 147 แห่ง ซึ่งจำนวนมากเป็นเด็กชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ที่ไม่ได้เข้าโรงเรียน โดยหวังว่าจะทำให้เด็กราว 15,000 คนได้เข้าถึงสื่อการอ่าน

ทั้งนี้ จากผลสำรวจด้านการอ่านโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2561 ระบุว่า เด็กไทยที่อายุน้อยกว่า 6 ขวบใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 42 นาที เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเมื่อ 5 ปีก่อน (2556) ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 34 นาที อีกทั้งผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยการสนับสนุนของยูนิเซฟในปี 2558-2559 พบว่ามีเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบถึง 6 ใน 10 คนมีหนังสือเด็กอยู่ที่บ้านไม่ถึง 3 เล่ม ส่วนเด็กที่มีหนังสือเด็กอยู่บ้านมากกว่า 10 เล่มนั้นมีเพียงร้อยละ 14 เท่านั้น

ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่า ยิ่งเด็กมาจากครอบครัวที่ขาดแคลนมากเท่าไหร่ ยิ่งจะเข้าถึงหนังสือได้น้อยลง และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ

อย่างไรก็ตาม แคมเปญ Every Child Can Read จึงมุ่งที่จะระดมทุนจำนวน 17 ล้านบาท เพื่อเพิ่มการเข้าถึงหนังสือสำหรับเด็ก และยกระดับพัฒนาการทางการเรียนรู้ของเด็กไทยในอีก 3 ปีข้างหน้านี้

ดังนั้น ผู้สนใจสามารถร่วมบริจาคเพื่อสนับสนุนแคมเปญนี้ได้ผ่านบริการ CenPay ณ จุดแคชเชียร์และกล่องบริจาคที่ร้านเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์ และท็อปส์ เดลี่ทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562-31 สิงหาคม 2565