ยุทธชัย จรณะจิตต์ “อิตัลไทยต้องปรับตัวตลอดเวลา”

หากไล่เรียงธุรกิจของ “กลุ่มอิตัลไทย” ที่ก่อมาตั้งแต่ปี 2498 จะพบว่ามีมากมายหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนัก ที่เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย และให้บริการหลังการขายเครื่องจักรกลหนักแบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง

ธุรกิจรับเหมางานวิศวกรรม และการก่อสร้างแบบครบวงจร ที่ให้บริการในด้านรับเหมาก่อสร้างงานระบบ อาทิ ระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าขนาดใหญ่ พลังงานทดแทน ระบบประกอบอาคารสูง ระบบสาธารณูปโภคในกลุ่มปิโตรเคมี ตลอดจนการสร้างคลังสินค้าและโรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงทั้งภายใน และต่างประเทศ ไปจนถึงกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการ และไลฟ์สไตล์ ที่มีทั้งธุรกิจบริหารจัดการแบรนด์โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และสปา ครอบคลุมทั้งในประเทศ ต่างประเทศ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ HORECA รวมถึงศูนย์การค้า และพื้นที่จัดแสดงด้านอาร์ตแอนด์แอนทีค

จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 60 ปีที่ธุรกิจของ “กลุ่มอิตัลไทย” เติบโต และกลายเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำแนวหน้าของเมืองไทย แม้ว่าระหว่างทางจะต้องประสบกับปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ มากมาย ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เหตุการณ์ทางการเมืองตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หรือสงครามการค้าที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

เพราะด้วยวิสัยทัศน์ของ “ยุทธชัย จรณะจิตต์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อิตัลไทย จำกัด ทายาทรุ่นที่ 3 ลูกชายคนโตของ “อดิศร-นิจพร จรณะจิตต์” หลานชายของ “ดร.ชัยยุทธ กรรณสูต” ที่ต้องเข้ามาดูแล และสานต่อธุรกิจของครอบครัว เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ด้วยวัยเพียง 25 ปี เล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงได้ศึกษาถึงการทรานส์ฟอร์มองค์กร รวมถึงการทำให้ธุรกิจทั้งหมดของกลุ่มอิตัลไทยเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยการสร้างค่านิยมหลัก และวัฒนธรรมองค์กรใหม่ ๆ เพื่อให้คนในองค์กรที่มีความหลากหลาย เกิดการเรียนรู้ และพัฒนา ไปพร้อมกับการเติบโตของธุรกิจ

“ยุทธชัย” เริ่มต้นเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่ผมเข้ามารับหน้าที่สานต่อธุรกิจแทนคุณพ่อตอนนั้นผมมีอายุเพียง 25 ปี และคนในองค์กรส่วนใหญ่มีหลากหลายเจเนอเรชั่น บางคนอายุมากกว่าผม 10-20 ปี ที่สำคัญ ทุกคนมีความรัก ความผูกพันกับองค์กรเป็นอย่างมาก ซึ่งผมต้องทำงานร่วมกับเขา ตรงนี้จึงทำให้เกิดความคิดว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความสมดุลระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่

“ผมจึงพยายามหาจุดบาลานซ์ที่มองหาความเชี่ยวชาญของคนรุ่นเก่า และความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ให้มาเจอกัน ด้วยการสร้างการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะการทำงานใหม่ ๆ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ผ่านการทรานส์ฟอร์มองค์กร และการให้พนักงานยึดโยงกับค่านิยมหลักขององค์กร ทั้งเรื่องเปิดใจฟัง ตั้งใจพูด พร้อมแบ่งปัน, เรียนรู้ เพื่อเติบโต, สร้างผลลัพธ์ที่ดี,ทำสิ่งที่ถูกต้อง, พกความสนุกมาทำงานด้วย และอย่ายอมแพ้ จนเกิดเป็นวัฒนธรรมของอิตัลไทย”

“การทรานส์ฟอร์มองค์กรในตอนนั้น ผมเหมือนนักวอลเลย์บอล ทั้งชงเอง ตบเอง เพราะนิสัยของผมเป็นคนชอบการเปลี่ยนแปลง บางคนที่ทำงานกับผมจะบอกว่า ผมเปลี่ยนเร็ว เยอะไป แต่ผมกลับมองว่า เราต้องเปลี่ยนเร็ว ไปเร็ว เพื่อความอยู่รอด ที่สำคัญต้องสเกลอัพ และมีความแตกต่าง เพราะธุรกิจของกลุ่มอิตัลไทยจะมีทั้งฝั่ง hard industry และ soft industry โดยในฝั่งฮาร์ดจะมีทั้งธุรกิจเครื่องจักรกลหนัก งานรับเหมาก่อสร้าง และงานระบบ ในกลุ่มนี้ต้องใช้คนเป็นจำนวนมาก ทั้งวิศวกรรม เมคานิกที่เป็นช่างซ่อมบำรุงเครื่องจักร รวมถึงส่วนที่เป็นฝ่ายขาย ทั้งหมดนี้เราต้องทำงานเป็นทีมร่วมกัน เพื่อเอาตัวรอดกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น”

“ส่วนฝั่งซอฟต์ คือ ธุรกิจบริการ และไลฟ์สไตล์ เฉพาะกลุ่มนี้เราใช้คนเยอะมาก เพราะมาจากโรงแรม เนื่องจากธุรกิจของเราเติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วง 10 ปีผ่านมา อย่างเครืออมารีตอนนี้เรามีเกือบ 60 แห่ง ใน 8 ประเทศทั่วโลก ทั้งยังมีแบรนด์ที่เราครีเอตขึ้นมาโดยเฉพาะ รวมถึงกลุ่มที่เป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ตรงนี้เราใช้เวลา และเงินในการพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นบริษัทบริหารจัดการโรงแรมขนาดกลาง ๆ จนถึงตอนนี้เราต้องการเติบโตเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในระดับภูมิภาค โดยใน 4-5 ปีข้างหน้า โรงแรมของเราจะเพิ่มขึ้นเป็น 100 แห่ง”

“ยุทธชัย” กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของโรงแรม สิ่งที่เห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่ง คือ การสรรหาคนใหม่ ๆ เข้ามาบริหาร เนื่องจากมีการวางทิศทางการเติบโต และการรทรานส์ฟอร์มองค์กรไว้อย่างชัดเจน อย่างในกลุ่มออนิกซ์ ฮอสพิทาริตี้ กรุ๊ป ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีซีอีโอไปแล้วถึง 2 คนแล้ว โดยคนแรกมาวางกลยุทธ์เรื่องของแบรนด์ และมาตรฐานต่าง ๆ ส่วนคนที่ 2 มาทำให้โอเปอเรชั่น เพื่อให้จับต้องและเติบโตต่อไปได้

“ทุก ๆ 5-10 ปี จะมีเรื่องการ remodeling ซึ่งดูเหมือนเป็นคำใหม่ แต่ความจริงแล้วเป็นเหมือนเทรนด์ ซึ่งเห็นได้จากดิจิทัลดิสรัปชั่น การรีโพรเซสแมเนจเมนต์ ที่ใช้คนน้อยลง ใช้ระบบมากขึ้น ตรงนี้ทำให้ธุรกิจของอิตัลไทยต้องปรับตัวไปด้วยเช่นกัน อย่างตอนนี้ที่เราพยายามทำ คือ การเปลี่ยนโมเดลธุรกิจใน 2-3 บริษัท เช่น ฝั่งที่เป็นเครื่องจักรกลหนัก เราต้องผันตัวเองจากดีลเลอร์ หรือดิสทริบิวเตอร์ ให้กลายมาเป็นจอยต์เวนเจอร์ หรือเป็นพาร์ตเนอร์ เพราะการทำงานแบบนี้ ต้นทุนจะถูกลง และปลอดภัยในระยะยาว”

“ส่วนธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เราพยายามหางานระบบ เพื่อนำกำไรที่ได้มาไปลงทุนในธุรกิจที่เป็น recurring
income อย่างธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจบำบัดน้ำเสีย หรือลงทุนในโรงไฟฟ้า เขื่อน เพื่อก่อให้เกิดรายได้ในระยะยาว แทนที่จะเป็นผู้รับเหมาอย่างเดียว ขณะที่ธุรกิจฝั่งโรงแรม เราต้องหาพาร์ตเนอร์ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถขยายเครือข่ายได้เร็วขึ้น

สิ่งที่เห็นชัดเจนจากการเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ผ่านมา คือ ริเวอร์ซิตี้ แบงค็อก ที่ถูกเปลี่ยนจากห้างขายของเก่าจนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ในเรื่องของศิลปะร่วมสมัย (contemporary art) เพื่อจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่าย งานศิลปะที่เป็นดิจิทัลมีเดีย เอ็กซิบิชั่น ซึ่งต่อไปเราอยากทำเป็นพิพิธภัณฑ์ถาวร (permanent museum) และปัจจุบัน Tang Gallery ย้ายมาทำ Tang Contemporary Art ที่นี่อีกด้วย”

“อีกอย่างหนึ่ง ในทุก ๆ 10 ปี ทุกคนจะมีไซเคิลเป็นของตัวเอง โดยจะมองหาสิ่งใหม่ ๆ เช่นเดียวกับตัวผมเองที่มองว่าในอีก 10 ปีต่อไปจะทำอะไรต่อ ทั้งการหาธุรกิจใหม่ ๆ การสร้างเติบโต หรือการหาคนที่ไอเดียใหม่ ๆ เข้ามาเสริมทัพให้กับองค์กร แต่ที่สำคัญ ผมมองว่าทุกคนจะต้องเสริมทักษะใหม่ (upskill) และเพิ่มทักษะใหม่ที่จำเป็น (reskill) เพื่อนำไปต่อยอดกับงาน ชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว ซึ่งตัวผมเองยอมรับว่ายังทำเรื่องนี้ไม่ได้ดี แต่เราจะหยุดเรียนรู้ไม่ได้ และด้วยความเป็นผู้นำ ยิ่งต้องไม่หยุดในการเรียนรู้ เพราะไม่เช่นนั้น คนที่เดินตามหลังมาจะไม่มีกำลังใจ ไม่เชื่อถือ”

ถึงตรงนี้ “ยุทธชัย” บอกว่า สิ่งที่ทำมาทั้งหมดนี้ โดยเฉพาะการทรานส์ฟอร์มองค์กร หรือการ remodeling ภายใน 5 ปีข้างหน้า อิตัลไทยจะกลายเป็นองค์กรที่โมเดิร์น อัพทูเดต มีความคล่องตัว เติบโตอย่างรวดเร็ว และขึ้นเป็นผู้นำในแต่ละธุรกิจ เทียบชั้นแนวหน้าของประเทศ และในภูมิภาค สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้

“เพราะด้วยธุรกิจที่หลากหลาย มีการปรับตัวอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ธุรกิจของอิตัลไทยมีความแข็งแกร่ง แม้ว่าจะประสบปัญจากความผันผวนของเศรษฐกิจ จากทั้งภายในและภายนอก ซึ่งในปี 2562 นี้ กลุ่มอิตัลไทยคาดว่าจะมีรายได้ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่ม hard industry มีรายได้อยู่ที่ 9,400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 63% และ soft industry จะมีรายได้อยู่ที่ 5,630 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 37%”

จึงนับเป็นแนวทางในการบริหารกลุ่มอิตัลไทย ภายใต้การนำของ “ยุทธชัย” ที่ไม่ได้หยุดอยู่กับความสำเร็จเดิม ๆ แต่พัฒนาคนและองค์กรไปพร้อมกับการเติบโตของธุรกิจ เพื่อนำมาซึ่งความหลากหลายในการสร้างสรรค์สินค้าและบริการ ที่จะตอบสนองความต้องการของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกวัน อย่างมั่นคงและแข็งแกร่งต่อไป