ต้นแบบปลูกกาแฟยั่งยืน

คอลัมน์ CSR Talk

ในบรรดาเครื่องดื่มหลายชนิด “กาแฟ” ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มอันดับต้น ๆ ที่ครองใจคนทั่วโลกมาทุกยุคทุกสมัย แต่ทว่าจะมีสักกี่คนที่ดื่มกาแฟแล้วจะนึกถึงชาวสวนผู้ปลูกกาแฟ ผู้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ เพื่อเมล็ดกาแฟคุณภาพเยี่ยม

ด้วยเหตุนี้ เนสกาแฟ จึงตระหนักถึงคุณค่าของชาวสวนกาแฟไทย ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องมาโดยตลอด จึงเดินหน้าสานต่อโครงการ “ปลูกด้วยใจ กาแฟไทยยั่งยืนกับเนสกาแฟ (Grown Respectfully)” ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติในระดับสากลของเนสกาแฟ ที่มุ่งสร้างคุณค่าให้เกิดประโยชน์ร่วมกันระหว่างชาวสวนกาแฟ ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ด้วยกระบวนการปลูกที่มีความรับผิดชอบ และคำนึงถึงความยั่งยืน

“ธนธร พันพานิชย์กุล” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ เรดคัพ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด บอกว่า แม้ประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในแหล่งปลูกกาแฟคุณภาพของโลก และกาแฟยังเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนไทยที่มีแนวโน้มการบริโภคเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่

แต่ในทางกลับกัน ชาวสวนกาแฟต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ ทั้งปัญหาผลผลิตต่ำ บางปีได้รับผลตอบแทนไม่เต็มที่ จึงทำให้โครงการปลูกด้วยใจ กาแฟไทยยั่งยืนกับเนสกาแฟถูกตั้งขึ้น เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันให้กับอนาคตของกาแฟคุณภาพ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนชาวสวนกาแฟให้มีการพัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่องมั่นคง ใน 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่

หนึ่ง การตระหนักถึงคุณค่าของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ด้วยการสื่อสาร พบปะ พูดคุย สอบถาม ปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเกษตรกรชาวสวนกาแฟ เพื่อช่วยปรับปรุงกระบวนการทำสวน ให้กาแฟมีคุณภาพดีที่สุด

สอง การสร้างคุณค่าให้ชุมชน ด้วยการร่วมกันปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวสวนกาแฟทุกคนในชุมชนให้มีความเข้มแข็งขึ้น ผ่านกิจกรรม โครงการที่หลากหลาย

สาม การรักษาคุณค่าของสิ่งแวดล้อม ด้วยการผลักดันให้เกิดการทำการเกษตรควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเพาะปลูกและผลิตกาแฟ ตั้งแต่การดูแลรักษาน้ำ ความสมบูรณ์ของดิน และโรงงานผลิตที่ปราศจากของเสียที่เหลือทิ้งสู่สิ่งแวดล้อม

“วรพรรณ สามิโส” ตัวแทนชาวสวนกาแฟในโครงการปลูกด้วยใจ กาแฟไทยยั่งยืนกับเนสกาแฟ จาก จ.ระนอง บอกว่า ที่บ้านปลูกกาแฟมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ส่วนตัวเองปลูกกาแฟมานาน 30 ปี และเคยผ่านจุดที่ถอดใจ อยากยอมแพ้ เพราะต้นกาแฟที่ปลูกไว้เริ่มแก่ ผลผลิตได้น้อยลง จนทางเนสท์เล่ส่งทีมนักวิชาการเข้ามาให้ความรู้ สอนทุกอย่างตั้งแต่การใส่ปุ๋ย การดูแล และการตัดแต่งกิ่งให้เกิดยอดใหม่ ทำให้กลับมามีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น และคุณภาพดีขึ้นเรื่อย ๆ ถือเป็นจุดเปลี่ยนให้เรามีกำลังใจสู้อีกครั้ง

“ดิฉันรู้จักเนสท์เล่มาตั้งแต่ปี 2540 สิ่งที่ทำให้ประทับใจ คือ ตลอดระยะเวลา 20 ปี เนสท์เล่ไม่เคยทิ้งเราเลย ทุกปีจะมีทีมนักวิชาการเกษตรลงพื้นที่มาเยี่ยมพี่น้องชาวสวนกาแฟ และมีการพาไปทัศนศึกษาดูงาน ปีละ 3 ครั้ง ทั้งยังมีการตั้งแปลงทดลองปลูกกาแฟให้ศึกษาเปรียบเทียบ ที่สำคัญ ถ้าชาวสวนกาแฟรายใดปลูกกาแฟแล้วติดขัด หรือมีปัญหา เนสท์เล่จะส่งทีมเข้าไปดูแล เริ่มตั้งแต่วัดค่าดิน มีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำช่วยเหลือ และเมื่อมีปัญหาสามารถโทร.ปรึกษาได้ตลอด”

“นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังอบรมคนในชุมชนให้รู้จักการทำปุ๋ยหมักไว้ใช้เองเพื่อลดต้นทุน รวมทั้งการทำบัญชี เพื่อให้ควบคุมรายรับ-รายจ่ายได้ดีขึ้น ส่วนด้านสิ่งแวดล้อม เนสท์เล่ไม่สนับสนุนให้ใช้สารเคมีระหว่างการปลูกกาแฟ เพราะทำให้มีสารตกค้าง และไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ท้ายที่สุด เนสท์เล่ทำให้เราภูมิใจว่ากาแฟที่ปลูกนั้นมีคุณภาพ ซึ่งเนสท์เล่มารับซื้อเมล็ดกาแฟถึงที่ ทำให้ได้รับเงินเป็นก้อน สามารถขยับขยายไร่ขึ้นมาได้ และเป็นแรงจูงใจให้ทำไร่ ทำสวนมาจนถึงทุกวันนี้”

“ธนธร” บอกต่อว่า เบื้องหลังความสำเร็จตลอดระยะเวลา 46 ปี ที่เนสกาแฟเป็นที่ชื่นชอบของคอกาแฟ นอกจากผู้บริโภคแล้ว ต้องขอขอบคุณชาวสวนกาแฟไทยทุกคนที่ทุ่มเทปลูกกาแฟคุณภาพด้วยหัวใจ และเพื่อเป็นการตอบแทนความตั้งใจของชาวสวนกาแฟไทยที่เปรียบเสมือนครอบครัวของเรา เนสกาแฟจึงมุ่งมั่นสานต่อ โครงการปลูกด้วยใจ กาแฟไทยยั่งยืนกับเนสกาแฟ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวสวนกาแฟอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันมีชาวสวนกาแฟกว่า 2,700 รายเข้าร่วมโครงการ ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร, ระนอง, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช และจันทบุรี และเพื่อลดขั้นตอนด้านซัพพลายเชน รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรถึงผลตอบแทนจากผลผลิตกาแฟคุณภาพ

เนสกาแฟจึงจัดตั้งศูนย์รับซื้อเมล็ดกาแฟโดยตรงจากเกษตรกร 4 แห่ง คือ อ.สวี และ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร และที่ อ.กระบุรี, อ.กะเปอร์ จ.ระนอง ขณะเดียวกัน นักวิชาการเกษตรของเนสท์เล่ยังสามารถยกระดับผลผลิตกาแฟเฉลี่ยต่อปีของไทยให้สูงขึ้นเป็น 1.45 ตันต่อเฮกตาร์ เทียบกับในอดีตที่ผ่านอยู่ที่ 0.9 ตันต่อเฮกตาร์ พร้อมกันนี้ เนสกาแฟยังได้ร่วมกับกรมวิชาการเกษตร ในการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์กาแฟโรบัสต้ามาตั้งแต่ปี 2542 อีกด้วย

อันเป็นความมุ่งมั่นและตั้งใจของเนสท์เล่ ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวสวนกาแฟอย่างยั่งยืน