พฤติกรรม “แยกขยะ” สร้างได้ หาก “ไม่ยุ่ง” และ “ไม่ยาก”

กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และศูนย์เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและการทดลอง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เผยผลการทดลองการสร้างพฤติกรรมการแยกขยะของคนไทย ที่ได้ดำเนินการกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้อยู่อาศัยใน T77 Community พบ 2 เงื่อนไขสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้คนไทยแยกขยะได้สำเร็จคือ “การขจัดความยุ่ง (ขี้เกียจแยก)” และ “ความยาก (ต้องคิดเยอะไป)”

พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขด้วยการออกแบบถังขยะให้สอดคล้องกับกระบวนการคิดของคน เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมการแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการลดปริมาณขยะและนำวัสดุที่รีไซเคิลได้ เช่น บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม กลับมารีไซเคิลให้ได้มากที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

และจุดเริ่มต้นของการทดลองเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมการแยกขยะนี้ เกิดจากวิสัยทัศน์ “World Without Waste” ของโคคา-โคล่าที่มีเป้าหมายในการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์เพื่อนำกลับมารีไซเคิลในปริมาณเทียบเท่ากับปริมาณบรรจุภัณฑ์ที่จำหน่ายออกสู่ตลาดให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก่อนปี 2573

และจากการศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการจัดการบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภคในประเทศไทย จากรายงานเกี่ยวกับห่วงโซ่คุณค่า หรือ แวลูเชนของขวดพลาสติก PET และกระป๋องอะลูมิเนียม ในประเทศไทย โดย GA Circular (A report on Material Flow and Value Chain Analysis for PET Bottles and Aluminium Cans in Thailand by GA Circular) พบว่า บรรจุภัณฑ์ประเภทขวดพลาสติกใส (PET) และกระป๋องอลูมิเนียมมีเพียงไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่ถูกนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล เนื่องจากไม่มีการแยกขยะอย่างเหมาะสมตั้งแต่ต้นทาง

ด้วยเหตุนี้ โคคา-โคล่า จึงเล็งเห็นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาขยะอย่างยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมการแยกขยะที่ต้นทาง จึงร่วมกับ แสนสิริ และศูนย์เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและการทดลอง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำทฤษฏีและการทดลองทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมาใช้เพื่อหาต้นตอของปัญหา วิเคราะห์ปัญหา และหาทางแก้ไขอย่างตรงจุด

“นันทิวัต ธรรมหทัย” ผู้อำนวยการองค์กรสัมพันธ์ การสื่อสาร และความยั่งยืน บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โคคา-โคล่า เชื่อว่า ปัญหาขยะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ปัญหาการไม่แยกขยะเป็นปัญหาพฤติกรรมของคน หากเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้คนแยกขยะตั้งแต่ต้นทางได้ ปริมาณขยะในภาพรวมก็จะลดลง วัสดุที่รีไซเคิลได้ก็จะถูกนำกลับมาผ่านกระบวนการรีไซเคิล และนำกลับมาใช้ใหม่ได้

ฉะนั้นแล้ว เราจึงริเริ่มนำแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติว่าสามารถมีส่วนช่วยปรับพฤติกรรมของคนเพื่อแก้ปัญหาสังคมและส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในบริบทแบบไทยๆ โดยความร่วมมือจากศูนย์เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและการทดลอง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแสนสิริ ที่มาร่วมกันดำเนินการทดลองเพื่อศึกษาและสร้างพฤติกรรมการแยกขยะในครัวเรือน

โดยใช้เทคนิคการ “สะกิด” (Nudge) ซึ่งมีที่มาจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ในชื่อเดียวกัน ของ Richard H. Thaler และ Cass R. Sunstein เทคนิคนี้ตั้งอยู่บนการทำความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ที่หลายครั้งก็เป็นเรื่องของนิสัย และความเคยชินมากกว่าความคิดเชิงเหตุผล และนำความเข้าใจนั้นมาสร้างมาตรการจูงใจแบบง่ายๆ แต่มีประสิทธิผลในการสร้างพฤติกรรมพึงประสงค์ ซึ่งในกรณีนี้คือ การสร้างพฤติกรรมการแยกขยะที่ต้นทาง

ด้าน “ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์” ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและการทดลอง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้การรณรงค์เพื่อการแยกขยะที่ต้นทางไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรนั้น มีสาเหตุหลัก 2 ประการคือ ความยุ่ง คือ คนไม่ต้องการทำอะไรที่สร้างความลำบากให้ตัวเอง และความยาก จากความซับซ้อนและเข้าใจยากของถังขยะที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน จึงส่งผลให้คนไม่แยกขยะ

ดังนั้น หากต้องการส่งเสริมการแยกขยะอย่างจริงจัง จึงจำเป็นต้องกำจัดมูลเหตุทางพฤติกรรมทั้งสองข้อนี้ โดยศูนย์ได้นำแนวคิดการสะกิด ตามทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมาใช้ในการทดลองกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างความตระหนัก และพฤติกรรมการแยกขยะ อันจะนำไปสู่การสร้างนิสัยการคัดแยกขยะในระยะยาว

นอกจากนี้ยังพบว่า การแก้ปัญหายุ่ง หรือความขี้เกียจในการแยกขยะนั้นสำคัญกว่าการแก้ปัญหา ยากหรือความไม่เข้าใจ เราจึงควรกระตุ้นให้คนเห็นความสำคัญของการแยกขยะมากขึ้น เพื่อปรับเปลี่ยนความขี้เกียจให้มาเป็นนิสัย โดยอาศัยกลไกทางสังคม ทำให้เห็นว่าทุกคนร่วมมือร่วมใจกันแยกขยะโดยเฉพาะคนในชุมชนเดียวกัน อันจะเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยสร้างพฤติกรรมการแยกขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ขณะที่ “จริยา จันทร์เจิดศักดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าววว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของแสนสิริที่ไม่เพียงแต่การพัฒนาที่อยู่อาศัย แต่ยังมุ่งมั่นส่งมอบไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน และเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แสนสิริได้เดินหน้าอย่างจริงจังในการผลักดันและเซตมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยในด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ผ่าน Sansiri Green Mission โดยมี Waste Management เป็น 1 ใน 4 คำมั่นสัญญาหลัก เพื่อจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปริมาณขยะให้เหลือไปกำจัดในปริมาณน้อยที่สุด ตั้งแต่ภายในองค์กร โครงการที่อยู่อาศัย ไปถึงไซต์ก่อสร้าง

และความร่วมมือกับโคคา-โคล่า และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสร้างสรรค์ต้นแบบการแยกขยะอย่างยั่งยืนของวงการอสังหา ตลอดจนอุตสาหกรรมไทยในวงกว้าง โดยแสนสิริจะนำผลการศึกษาในครั้งนี้ไปต่อยอดร่วมกับผลการศึกษาของแสนสิริ เพื่อออกแบบถังขยะใหม่ในทุกโครงการคอนโดมิเนียม ที่สร้างเสร็จตั้งแต่ปีตั้งแต่ 2563 เป็นต้นไป

สำหรับการทดลองทฤษฎีการสะกิดครั้งนี้ ดำเนินการครอบคลุมคอนโดมิเนียม 3 โครงการที่ T77 Community ได้แก่ THE BASE Park West, hasu HAUS และ mori HAUS รวม 246 ห้องชุด เป็นระยะเวลา 4 เดือน (พฤษภาคม-สิงหาคม 2562) สำหรับข้อเสนอแนะต่อการแยกขยะที่ได้จากผลการทดลองเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมนี้ ประกอบไปด้วย การจัดหาถังขยะให้สอดคล้องกับประเภทขยะ การออกแบบถังขยะให้สอดคล้องกับระบบความคิดของคน รวมถึงการสื่อสารโดยใช้รูปภาพอธิบายที่ไม่ซับซ้อน และมีข้อความสั้นๆ กำกับ ร่วมกับการ แจกโบรชัวร์ให้ความรู้ในการแยกขยะด้วยการสอดไว้ตามห้อง หลีกเลี่ยงการใช้คำว่าขยะ โดยอาจใช้คำว่า เศษอาหาร หรือ รีไซเคิลแทน เป็นต้น

ถึงตรงนี้ “นันทิวัต” บอกว่า โคคา-โคล่า ต้องขอขอบคุณทางแสนสิริ ในฐานะเจ้าของสถานที่ T77 Community และศูนย์เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและการทดลอง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่วางแผนทำงานและเก็บข้อมูลร่วมกันมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม การทดลองนี้แม้จะเป็นเพียงการทดลองเล็กๆ เมื่อเทียบกับบริบทของประเทศไทย แต่ก็ช่วยแสดงให้เห็นว่ายังมีคนอีกไม่น้อยที่อยาก และพร้อมจะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาด้วยการแยกขยะที่ต้นทาง ถ้าเราวางระบบให้ยุ่งและยากน้อยลง และหวังว่าผลการทดลองนี้จะทำให้ทุกคนเห็นว่า เราสามารถสร้างพฤติกรรมการแยกขยะได้ โดยไม่ต้องรอให้เป็นหน้าที่ของเด็กรุ่นใหม่ และช่วยสะกิดให้คนไทยหันมาแยกขยะก่อนทิ้งกันให้มากขึ้น