Trend Watching

ภาพ : trendwatching.com

คอลัมน์ เอชอาร์คอร์เนอร์

โดย อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา

 

เมื่อวันก่อน ผมมีโอกาสได้ฟังผู้ชายคนหนึ่งชื่อ “David Mattin” พูดเรื่องแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต (future trends) ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อเขามาก่อนเลย เนื่องจาก “David Mattin” เป็นนักข่าว (journalist) และบรรณาธิการ (editor) ที่หันมาสนใจเรื่องราวของเทคโนโลยี และอนาคตศาสตร์ ปัจจุบันเขาเป็น Global Head of Trends & Insights ของสถาบัน Trend Watching และนั่งเป็นบอร์ดใน Global Future Council ของ World Economic Forums

ปกติผมสนใจศึกษาเรื่องของอนาคต และติดตามข่าวสารด้านนี้มาพอสมควร เพราะเห็นว่าโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ที่สำคัญการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ กำลังเข้ามามีผลกระทบ (disruption) ต่อการทำธุรกิจด้านการพัฒนาคนและการให้คำปรึกษาที่ผมดูแลอยู่อย่างมาก ยกตัวอย่าง เช่น สมัยก่อนการเรียนรู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในห้องเรียน แต่ปัจจุบันต้องอาศัยทั้งช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ผสมผสานกันในสัดส่วนที่พอเหมาะและลงตัว เพื่อส่งมอบเนื้อหาให้กับผู้เรียนที่มีความแตกต่างหลากหลาย อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ที่ผ่านมาผมได้ยินได้ฟังแนวโน้มในอนาคต (future trends) ของค่ายต่าง ๆ มามากมาย แต่ “David Mattin” กลับให้มุมมองที่แปลก และแตกต่างออกไป เขาบอกว่าไม่ช้าไม่นานจากนี้ มนุษย์จะต้องเผชิญกับแนวโน้ม 3 ประการ

1.connection-ความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่ผ่านมาเรามักได้ยินแค่การใช้เทคโนโลยีตามความสามารถในการทำงานของมัน(functional) เท่านั้น ในขณะที่ David บอกว่า จากนี้เป็นต้นไป เทคโนโลยีจะเชื่อมต่อกับมนุษย์ทางด้านจิตใจ (emotion) ด้วย

ไม่เชื่อ ดู VDO clip นี้ครับ https://www.youtube.com/watch?v=nkcKaNqfykg เป็นโฆษณาของผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ชื่อว่า Gatebox ของประเทศญี่ปุ่น โดยนำเสนอหุ่นยนต์ในโลกเสมือนที่ชื่อ “อาซึมะ” แคแร็กเตอร์ตัวแรกในกล่องคอมพิวเตอร์ที่ช่วยดูแลบ้านผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้สมจริง ผู้ผลิตระบุว่า “อาซึมะ” คือแคแร็กเตอร์ที่ดีต่อใจ สำหรับผู้ที่อยู่คนเดียว สิ่งที่เคยพูดกันเล่น ๆ ว่า ต่อไปคนจะแต่งงานกับหุ่นยนต์ อาจกลายเป็นเรื่องจริงให้พวกเรามีโอกาสเห็น ก่อนจะจากโลกนี้ไปก็เป็นได้

2.status-เรื่องหน้าตาและสถานะ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ ต่อไปเทคโนโลยีจะมีส่วนในการช่วยดูแลให้มนุษย์เก่งขึ้น ดีขึ้น มีหน้ามีตามากขึ้นในสังคม เช่น อาจมีการฝังชิป (chip) เพื่อช่วยให้มนุษย์ฉลาดขึ้น, มีแอปที่ช่วยดูแลบุคลิกภาพ, มีหุ่นยนต์ที่คอยจัดการเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม, มีปัญญาประดิษฐ์ที่ทำหน้าที่แนะนำวิธีการวางตัว และการออกงานสังคมต่าง ๆ ในอนาคตข้างหน้า เทคโนโลยีจะถูกนำมาใช้ในรูปแบบที่มีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม

3.belief-ที่ผ่านมาความเชื่อของมนุษย์อยู่ในสมอง และบนโลกที่อาศัยอยู่เท่านั้น แต่จากนี้ไป ความเชื่อในโลกเสมือน (augmented belief) จะมีให้เห็นมากขึ้น สังคมทุกวันนี้อาจไม่สุขสบายและไม่สามารถตอบสนองความพึงพอใจของใครหลาย ๆ คนได้มากพอ ต่อไปมนุษย์อาจไปใช้ชีวิตอยู่บนโลกเสมือนที่ถูกสร้างขึ้น

ตัวอย่างที่มีให้เห็นแล้วตอนนี้ คือ โลกเสมือนในเซกันด์ไลฟ์ดอตคอม (www.secondlife.com) ที่ซึ่งคนที่อยากมีชีวิตอย่างที่ตัวเองฝันไว้ สามารถไปเกิดใหม่ในโลกเสมือนนี้ได้ สามารถกำหนดรูปร่าง หน้าตา เพศ บุคลิก ฯลฯ ได้ตามใจปรารถนา สามารถแต่งงาน มีครอบครัว ทำงาน คบเพื่อน สังสรรค์ ไปเที่ยว ฯลฯ ในโลกเสมือนนั้นได้ ชนิดที่ไม่แตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย แนวทางแบบนี้จะมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตอันใกล้ ส่วนจะเป็นเรื่องที่น่าพิสมัย หรือน่าสะพรึงกลัว ก็แล้วแต่จะมอง

นี่เป็นตัวอย่างมุมมองของ “David Mattin” ชายหนุ่มมาดเด็กเนิร์ดที่พูดจารู้เรื่องและมีพลัง ทุก ๆ ปีเขาคนนี้จะเดินสายพูดเรื่อง future trends ทั่วโลก ไปที่ไหน คนเต็มทุกรอบ ยิ่งกว่า “โน้ส อุดม” ซะอีก ที่ผ่านมาเขาได้แค่เฉียด ๆ เมืองไทย แต่ไม่เคยแวะมาพูดที่บ้านเราสักที

ผู้บริหารและคนทำงานจากประเทศไทยหลายคนที่ผมรู้จัก ลงทุนซื้อตั๋วเครื่องบิน ยอมจ่ายค่าโรงแรม ซื้อบัตรไปฟังถึงต่างประเทศ ที่สำคัญทุกคนกลับมาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คุ้มค่าจริง ๆ เหมือนได้เปิดกะลาที่ครอบอยู่ ให้เห็นแสงสว่างที่สุกใส…ขนาดนั้น

ผมเพิ่งทราบว่า “David Mattin”จะมาพูดที่เมืองไทย ในวันที่ 8 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ กับ David หรือคณะผู้จัดเลยแม้แต่น้อย เมื่อทราบข่าวก็ติดต่อขอซื้อบัตร ปรากฏว่าเจอผู้ใหญ่ใจดีให้ส่วนลดแบบสุดลิ่มทิ่มประตูมา ผมเห็นว่าการมาครั้งนี้ของเขาน่าจะเป็นประโยชน์กับคนไทย และประเทศชาติ เลยขออนุญาตทางผู้จัดนำส่วนลดที่ได้รับมาเผื่อแผ่แฟน ๆ ประชาชาติธุรกิจด้วย

ใครสนใจอยากไปฟัง และอยากได้ส่วนลด อีเมล์มาหาผมนะครับ [email protected]