เปิดเทรนด์ปรับ “เงินเดือน” ธุรกิจไทยปี 2563 ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน

“เมอร์เซอร์” ที่ปรึกษาองค์กร เปิดผลศึกษา ‘โครงการสำรวจค่าตอบแทนและสวัสดิการของประเทศไทย ประจำปี 2562’ พร้อมแนวโน้มการเติบโตของอัตราการจ้างงานและเงินเดือนปี 2563

โดยตัวเลขและการคาดการณ์มาจากผลการสำรวจอัตราค่าตอบแทนและสวัสดิการ โดยปีนี้มีบริษัทที่เข้าร่วมโครงการศึกษาเพิ่มเป็น 607 บริษัท จากหลากหลายอุตสาหกรรมในประเทศไทย

โดยปี 2563 ตัวเลขคาดการณ์ขึ้นเงินเดือนของอุตสาหกรรมหลักในประเทศไทยคงตัวอยู่ที่ 5% สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำที่ 1.1% (1.0% ในปี 2562) โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับการคาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นเงินเดือนสูงสุด คือ อุตสาหกรรมยานยนต์อยู่ที่ 5.5% ขณะที่อุตสาหกรรมเคมีมีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับเงินเดือนอยู่ที่ 5.2%

แนวโน้มการจ่ายโบนัสในภาพรวมของทุกอุตสาหกรรมสำหรับปี 2562 นี้ ยังคาดว่าจะอยู่ที่ 2.3 เท่าของเงินเดือน โดยอุตสาหกรรมยานยนต์จะมีการจ่ายโบนัสสูงสุดที่ 3.6 เท่าของเงินเดือนเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ตามมาด้วยอุตสาหกรรมประกันชีวิตและอุตสาหกรรมไฮเทค ซึ่งคาดว่าจะจ่ายโบนัสอยู่ที่ 2.5 เท่าของเงินเดือน

ขณะที่แนวโน้มอัตราการออกจากงานโดยสมัครใจในภาพรวม ผลสำรวจยังชี้ว่าอัตราการออกจากงานโดยสมัครใจเพิ่มขึ้นเป็น 12.8% ในปี 2561 (เมื่อเทียบกับ 12.5% ในปี 2560) ขณะที่ข้อมูลล่าสุดจากผลสำรวจ Mercer Asia Market Pulse Survey ในไตรมาส1/2562 พบว่า อัตราการลาออกจากงานโดยสมัครใจคงที่ในระดับเดียวกับไตรมาส1/2561 (4%)

โดยในทวีปเอเชีย สาเหตุหลักที่พนักงานลาออกจากงานนั้นมีความแตกต่างไปตามกลุ่มอายุและเพศ โดยภาพรวมแล้วพบว่ามีสาเหตุหลักอยู่ 3 ประการ ได้แก่ การแข่งขันด้านค่าตอบแทน การสื่อสารกับหัวหน้างาน และความก้าวหน้าในสายอาชีพที่ชัดเจน ซึ่งรวมถึงความมั่นคงของงานด้วย ขณะที่อุตสาหกรรมไฮเทคในประเทศไทยยังคงมีอัตราการออกจากงานโดยไม่สมัครใจสูงสุดที่ 7% ซึ่งเป็นผลมาจากบทบาทของเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นและความจำเป็นของภาคอุตสาหกรรมในการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและการใช้ระบบออโตเมชั่น

สำหรับแนวโน้มของการจ้างงานในประเทศไทยปี2563 คาดว่าองค์กรต่างๆ มีแผนที่จะว่าจ้างงานอยู่ที่ 29% ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสัดส่วน 31% ในปี 2562 จากอัตราที่คงที่ของการออกจากงานโดยสมัครใจ องค์กรส่วนมากจึงมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะและความสามารถของพนักงาน

นายพิรทัต ศรีสัจจะเลิศวาจา Market Segment Leader & Career Products Leader บริษัท เมอร์เซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตำแหน่งงานที่เรามีความคุ้นเคยกันทุกวันนี้เริ่มที่จะหายไปจากตลาด และการเข้าถึงทักษะที่สามารถนำบริษัทไปสู่เป้าหมายในด้านทรัพยากรบุคคล จะมีความสำคัญและผลกระทบต่อการสร้างคุณค่าขององค์กรและตัวชี้วัดของงานต่างๆ ในอนาคต”

ทั้งนี้เพื่อรับมือกับความต้องการทักษะด้านดิจิทัล องค์กรต่างๆ จึงยอมจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นเพื่อทักษะด้านดิจิทัลที่โดดเด่น หรือกำหนดบทบาทตำแหน่งงานอย่างไม่เฉพาะเจาะจง เพื่อให้มีพนักงานที่มีทักษะดังกล่าวเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าทักษะดิจิทัลนี้จะได้รับการผสานเข้าใน ‘กลุ่มทักษะ’ ที่จะสร้างมาตรฐานให้แก่ฐานเงินเดือนในอนาคต ซึ่งไม่ได้จำกัดเพียงแค่ทักษะเชิงเทคนิคหรือเชิงปฎิบัติ แต่กลุ่มทักษะจะครอบคลุมทักษะในวงกว้าง รวมถึงทักษะที่เกี่ยวกับกระบวนการคิดและพฤติกรรมอีกด้วย

นายจักรชัย บุญยะวัตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมอร์เซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในยุคปัจจุบันที่ธุรกิจากำลังเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล การก้าวสู่ยุคประชากรสูงอายุ และการหันมาใช้พนักงานชั่วคราวเพิ่มขึ้น องค์กรมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาทบทวนการให้ค่าตอบแทนและสวัสดิการที่องค์กรให้กับพนักงาน เพื่อให้เหมาะกับความต้องการของแต่ละบุคคล ตลอดจนสร้างแรงกระตุ้นให้แก่พนักงาน โดยมีหลายบริษัทที่หันมาใช้ระบบสิทธิประโยชน์แบบยืดหยุ่นและรูปแบบการจ่ายค่าตอบแทนตามความสามารถเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ

และการเกิดขึ้นตำแหน่งงานใหม่ๆ รวมถึงการที่ตำแหน่งงานเดิมต้องปรับเปลี่ยนไปกระแสของเทคโนโลยีออโตเมชั่นและเอไอ จึงเป็นเรื่องยากสำหรับองค์กรที่ต้องตามให้ทันกับความคาดหวังของพนักงาน การลงทุนในเรื่องของค่าตอบแทนควรสะท้อนถึงกลยุทธ์ที่องค์กรให้ความสำคัญ โดยในหลายกรณี สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนจากวิธีการแบบเดิม มาสู่รูปแบบของผลตอบแทนที่ต่างออกไป เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงานที่มีความต้องการและการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม บริษัทชั้นนำเริ่มมีการให้ความสำคัญในเรื่องของการให้ผลตอบแทนแก่พนักงานในภาพรวม โดยมีการให้ค่าตอบแทนที่มากกว่าเงินเดือน เช่น โอกาสเติบโตในอาชีพ การให้เงินพิเศษเพื่อเป็นแรงจูงใจ และการให้ผลตอบแทนพิเศษ