“เซ็นทรัล รีเทล” ชู “ESG” เดินหน้าสร้างคุณค่าร่วมสู่สังคม

บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจแบบระยะยาวมากกว่าระยะสั้น เพราะต้องการสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวมอันหมายถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย โดยยึด 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (environment, society and governance : ESG) โดยปี 2562 บริษัทชูแนวทางบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับแผนและกระบวนการธุรกิจตลอดปี และยังจะสานต่อไปในปี 2563 ด้วย เพราะต้องการมุ่งสู่การประกอบธุรกิจค้าปลีกอันดับหนึ่งที่พร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่งควบคู่ไปกับทุกคนในระยะยาว

“ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล” ประธานกรรมการ เซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า เราขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวเดียวกับกลุ่มเซ็นทรัลที่ยึดหลักความใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และหลักธรรมาภิบาล (ESG) พร้อมกับสร้างสรรค์คุณค่าร่วม (creating share value) กันระหว่างธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ทั้งผู้บริโภค ภาครัฐ พันธมิตร คู่ค้า ตลอดจนพนักงานทุกคน และคนในสังคมที่เราเข้าไปดำเนินกิจการ

“วิธีการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน เราเริ่มต้นจากทัศนคติและการดำเนินงานของทุกคนภายในองค์กรก่อน จากนั้นจึงขยายสู่ภายนอกเพื่อให้เกิดผลในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดย 72 ปีผ่านมาเราผลักดันโครงการวิสาหกิจเพื่อสังคม (social enterprise-SE) และการสร้างสรรค์คุณค่าร่วมกับสังคมมากมาย เริ่มตั้งแต่ด้านส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่เรามีกรอบการดำเนินงาน 4 ด้าน ประกอบด้วย หนึ่ง การลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สอง การบริหารจัดการขยะ สาม การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ สี่ การบริหารจัดการโซ่คุณค่า”

“สำหรับการลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เราใช้พลังงานทางเลือกโดยติดตั้งแผงพลังงานโซลาร์เซลล์บนหลังคาของศูนย์การค้าในเครือ เช่น ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เพชรบุรี และกำแพงเพชร ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้ารวมได้ 5,800 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง และช่วยลดระดับภาวะก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 3,300 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี ที่สำคัญเราทำการปลูกป่าในโครงการปลูกต้นไม้ ฟื้นฟูผืนป่าที่เป็นกิจกรรมในระดับมหภาคที่เราร่วมกับเครือข่ายภาครัฐและชุมชน โดยโครงการที่ดำเนินการแล้ว ได้แก่ โครงการปลูกป่าบางขุนเทียน บนพื้นที่ 36 ไร่ และบริเวณโครงการคุ้งบางกะเจ้า บนพื้นที่ 23 ไร่”

“นอกจากนั้น ยังมีโครงการสร้างอาหารยั่งยืน ฟื้นคืนป่าน่านที่เรารณรงค์ปลูกป่า จำนวน 200 ไร่ ร่วมกับองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ในจังหวัดน่าน แบบป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 9 และโครงการส่งเสริมการปลูกกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน ในจังหวัดเชียงราย รวมพื้นที่กว่า 500 ไร่ เป็นต้น”

“ดร.ประสาร” กล่าวต่อถึงโครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการขยะว่ามีโครงการ เซ็นทรัล รีเทล เลิฟ ดิ เอิร์ธ เพื่อส่งเสริมการดูแลสิ่งแวดล้อมจากภายในสู่ภายนอกองค์กร โดยมีโครงการหลัก Journey to Zero ที่ต้องการลดปริมาณขยะมูลฝอย และลดปริมาณมลพิษด้วยพลังงานสะอาด โดยเราปฏิเสธการใช้ถุงพลาสติก (Say No To Plastic Bags) เพื่อประกาศเจตนารมณ์การเป็นธุรกิจค้าปลีกรายแรกของไทยที่ปลอดถุงพลาสติกมาตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2562 พร้อมกับรณรงค์ให้ลูกค้านำถุงผ้ามาใช้ โดยกำหนดเป้าหมายที่จะลดการใช้ถุงพลาสติกให้ได้มากกว่า 150 ล้านใบต่อปี จากปริมาณปกติที่มีการใช้ปีละกว่า 450 ร้อยล้านใบ

“แคมเปญดังกล่าวเริ่มจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ก่อนประกาศใช้กับทุกหน่วยธุรกิจภายในเครือเซ็นทรัล รีเทล โดยงดแจกถุงพลาสติกทุกวันอังคารของสัปดาห์ และทุกวันที่ 4 ของเดือน สำหรับแฟมิลี่มาร์ทมีการรณรงค์งดแจกถุงพลาสติกแก่ลูกค้าในทุกวันที่ 4 ของเดือน โดยมี 10 สาขานำร่องการงดให้ถุงพลาสติกแก่ลูกค้าทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ได้แก่ สาขามหาวิทยาลัยมหิดล, สาขามหาวิทยาลัยศรีปทุม, สาขาเซ็นทริค ติวานนท์, สาขาเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ ชั้น 21, สาขาคาร์โก้ สุวรรณภูมิ, สาขากรมการกงสุล, สาขาอาคารจอดรถผู้โดยสาร, สาขาจี ทาวเวอร์, สาขาแอลพีเอ็น พาร์ค ปิ่นเกล้า และสาขากรมอนามัย ซึ่งในอนาคตมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนสาขานำร่องอีกในพื้นที่โซนท่องเที่ยว โดยลูกค้าที่เป็นสมาชิกของ The 1 และปฏิเสธรับถุงพลาสติกจะได้รับคะแนนพิเศษเพิ่มเติม เพื่อสร้างแรงจูงใจงดใช้ถุงพลาสติก”

“นอกจากนั้น ยังมีโครงการ Central Green คือการรณรงค์คัดแยกขยะ โดยกำหนดเป้าหมายว่าภายในปี 2562 สำนักงานทุกแห่งของ เซ็นทรัล รีเทลจะต้องแยกขยะเป็น 4 ประเภท คือ ขยะอินทรีย์ ขยะรีไซเคิล ขยะทั่วไป และขยะอันตราย นอกจากนี้ เรายังขยายแนวคิดเรื่องการคัดแยกขยะไปยังนอกองค์กรด้วยการจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ อีกทั้งยังร่วมมือเป็นพันธมิตรกับแอปพลิเคชั่น GEPP (เก็บ) เพื่อบริหารการจัดเก็บและรับซื้อขยะอย่างเป็นระบบในลักษณะระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy)”

“รวมถึงการที่เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ท็อปส์ มาร์เก็ต ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์ และท็อปส์ เดลี่ ทำการลดขยะอาหารด้วยการจัดการอาหารเหลือค้างจากการจัดจำหน่าย โดยจะนำมาแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ อาหารที่รับประทานได้จะถูกส่งมอบให้แก่องค์กรการกุศลเพื่อเด็ก เยาวชน และผู้ด้อยโอกาส เช่น มูลนิธิบ้านพระพร และบ้านราชาวดี โดยตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2562 สามารถสร้างมื้ออาหารได้มากกว่า 40,889 มื้อ ส่วนอาหารที่รับประทานไม่ได้เราแปรรูปให้เกิดมูลค่า เช่น แฟมิลี่มาร์ทบนเกาะสมุยผลิตขยะอาหารเป็นปุ๋ยชีวภาพและก๊าซหุงต้ม ณ โรงเรียนบุญฑริการาม และโรงเรียนเทศบาล 1 วัดละไม จังหวัดสุราษฎ์ธานี จนเกิดเป็นเศรษฐกิจหมุนเวียน”

“ดร.ประสาร” อธิบายถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ว่า เซ็นทรัล รีเทลมุ่งสร้างงานและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คน โดยตัวอย่างโครงการที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งส่งผลให้เกิดความยั่งยืนในสังคมในวงกว้าง คือการส่งเสริมอาชีพสำหรับผู้พิการด้วยการสร้างอาชีพ ซึ่งปัจจุบันมีผู้พิการได้รับการส่งเสริมอาชีพรวมทั้งกลุ่มเซ็นทรัลกว่า 762 คน ในจำนวนนี้สนับสนุนโดยเซ็นทรัล รีเทล 634 คน และทั้งหมดมีรายได้ที่มั่นคงเฉลี่ยกว่า 180,000 บาทต่อคนต่อปี นอกจากนี้ ภายในพื้นที่ห้างสรรพสินค้าและธุรกิจค้าปลีกที่อยู่ในเครือเซ็นทรัล รีเทล มีการจัดสรรพื้นที่สำหรับประกอบอาชีพแก่ผู้พิการ เพื่อจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลรวม 106 คน

“ที่ผ่านมาเราใช้ความรู้ที่มี อาทิ หลักสูตรการบริหารจัดการโลจิสติกส์, หลักสูตรการโรงแรมและการท่องเที่ยว หลักสูตรแฟชั่น และผ้าทอมาช่วยสถานศึกษาต่าง ๆ เช่น วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี โดยมีนักศึกษาเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปี 2561 สู่ปี 2562 และคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจากโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมทั้งหมดที่เซ็นทรัล รีเทลเข้าไปพัฒนารวมแล้วมีจำนวนทั้งหมด 134 โรงเรียน นักเรียนจำนวน 34,890 คน และครูจำนวน 2,091 คน ทั้งยังสร้างรายได้ให้กับชุมชนจากการรับซื้อผลิตภัณฑ์จากสินค้าชุมชนมีมูลค่าสูงถึง 403 ล้านบาท โดยมีจำนวนผลิตภัณฑ์รวมกว่า 4,650 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งถือเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพ และส่งเสริมรายได้ให้กับ 13,471 ครัวเรือน ในช่วงมกราคม-มิถุนายน 2562”

สำหรับการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาล “ดร.ประสาน” บอกว่า เรื่องความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส และเป็นธรรมเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเตรียมพร้อมเข้าสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

“เราแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด และไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เพื่อทำหน้าที่ปกป้องสิทธิของผู้ถือหุ้นรายย่อย รวมถึงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดย่อยนอกเหนือจากคณะกรรมการบริหาร ได้แก่ คณะกรรมการตรวจสอบ คณะกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน และคณะกรรมการนโยบายความเสี่ยง โดยมีนโยบายการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานอย่างโปร่งใส และมีผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานแต่ละส่วนอย่างชัดเจน”

“นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำนโยบายต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้พนักงานทุกระดับได้รับทราบแนวทางปฏิบัติและข้อกำหนดเกี่ยวกับความรับผิดชอบในการดำเนินการที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเกิดทุจริตคอร์รัปชั่น รวมทั้งยังครอบคลุมไปถึงกระบวนการบริหารงานบุคคล ตั้งแต่การสรรหาหรือคัดเลือกบุคลากร การเลื่อนตำแหน่ง การฝึกอบรม และการประเมินผลพนักงาน ตลอดจนยังทำหน้าที่ในการสร้างความเข้าใจจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร โดยพนักงานทุกคนรวมถึงบุคคลภายนอกสามารถยื่นเรื่องร้องเรียนผ่านฝ่ายตรวจสอบภายใน ซึ่งจะทำหน้าที่ตรวจสอบและรักษาความลับของผู้ให้ข้อมูลอย่างเข้มงวด”

อันเป็นโครงการทั้งหมดของเซ็นทรัล รีเทล ที่ตั้งใจก่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในการสร้างคุณค่าร่วมอย่างยั่งยืน