ข้อเสนอแรงงานข้ามชาติ จัดตั้งสหภาพ-เลิกฟ้อง-แก้ปม GSP

เครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ (MWRN) ร่วมกับ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย, สมาพันธ์ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย และสหภาพข้าราชการและคนทำงานภาครัฐ จัดงาน วันแรงงานข้ามชาติสากล (International Migrants Day) ประจำปี 2562 ตามประกาศขององค์การสหประชาชาติ และภายในงานดังกล่าวมีการจัดเสวนาเรื่อง “สถานการณ์แรงงานไทย แรงงานข้ามชาติ ต่อสิทธิการรวมตัวเจรจาต่อรอง”

โดยมี “สมพร ขวัญเนตร” ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย “สุพจน์ พงษ์สุพัฒน์” ประธานสหภาพข้าราชการและคนทำงานภาครัฐ “อองจอ” ประธานเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ และ “สุจิน รุ่งสว่าง” ประธานสมาพันธ์ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์

เบื้องต้น “สมพร” กล่าวว่า แรงงานเป็นกลุ่มคนที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และสมควรได้รับการดูแลจากรัฐบาล แต่กฎหมายไม่ได้คุ้มครองสิทธิแรงงาน ทำให้นายจ้างกดขี่ และเอารัดเอาเปรียบคนงานตลอดมา โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติ จนประเทศไทยถูกต่างชาติระบุว่าเป็นประเทศที่มีการค้ามนุษย์ จนล่าสุดถูกตัดสิทธิพิเศษทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา

“ที่ผ่านมาคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยผลักดันให้รัฐบาลรับรองสิทธิตามอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 ว่าด้วยสิทธิการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง แต่ประเทศไทยยังไม่ได้รับรอง ทั้งที่ประเทศในอาเซียนรับรองกันหมดแล้ว ปัจจุบันแรงงานข้ามชาติไม่มีสิทธิตั้งสหภาพ ถือเป็นการคุกคามและละเมิดสิทธิแรงงาน และอาจทำให้ไทยถูกตัดสิทธิพิเศษจากอีกหลายประเทศ เราจึงต้องขับเคลื่อนร่วมกันเพื่อให้รัฐบาลรับรองสิทธิตามมาตรฐานสากลต่อไป โดยเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่ประเทศไทยจะไม่รับรองอนุสัญญาแรงงาน แล้วยอมโดนกีดกันทางการค้า”

ขณะที่ “สุพจน์” มองว่า พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ ปี 2518 ไม่ได้ห้ามแรงงานข้ามชาติในการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน แต่จะเป็นกรรมการไม่ได้ ทำให้แรงงานข้ามชาติไม่มีโอกาสเข้าไปเป็นผู้เจรจาต่อรอง ส่วนการร่วมเจรจาหารือ และการเข้าชื่อยื่นข้อเรียกร้องนั้น กฎหมายไม่ได้จำกัดไว้ แต่ที่ผ่านมาแรงงานข้ามชาติจะมองเรื่องความมั่นคงในการทำงาน มากกว่าการใช้สิทธินี้

“การมีกฎหมายที่ไม่คงเส้นคงวา และไม่ครอบคลุม ทำให้เกิดการขูดรีดแรงงานข้ามชาติ เครือข่ายแรงงานจึงต้องทำงานร่วมกัน และให้ความคุ้มครองผู้ใช้แรงงานข้ามชาติ โดยต้องมีองค์กรภาครัฐหรือรัฐวิสาหกิจเข้าไปเป็นเครือข่าย เพื่อให้การขูดรีดและการเอารัดเอาเปรียบลดลง”

ส่วน “อองจอ” บอกว่า การไม่รับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 ทำให้แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในไทยถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้สิทธิต่าง ๆ ที่ควรจะได้ อย่างเมื่อเกิดอุบัติเหตุในที่ทำงานก็เข้าไม่ถึงประกันสังคม ทางองค์กรจึงขอเป็นตัวแทนในการต่อรองกับภาครัฐ เพื่อรับรองสิทธิแรงงานข้ามชาติให้มีชีวิตที่ดีขึ้น

“ที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จในโรงงานแห่งหนึ่งที่มีคนงานราว 1 หมื่นคน โดยใช้ช่องทางตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ รวบรวมแรงงานข้ามชาติเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานในโรงงานนั้นได้ 2,300 คน มี 6 ข้อเรียกร้อง และสำเร็จ 2 ข้อ เนื่องจากกระบวนการต่าง ๆ ติดขัด เช่น แรงงานข้ามชาติไม่สามารถเป็นคณะกรรมการสหภาพได้ การต่อรองก็มีสถานทูตเข้ามายุ่งเกี่ยว ทำให้ไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องได้ทั้งหมด”

ด้าน “สุจิน” บอกว่า แรงงานนอกระบบมี 2 กลุ่ม คือ รับงานมาทำที่บ้าน และอาชีพอิสระทั่วไปที่ไม่มีนายจ้าง โดยล่าสุดมีตัวเลข 21.6 ล้านคน แต่ปัจจุบันน่าจะมีจำนวนมากกว่านี้ แต่กฎหมายที่คุ้มครองแรงงานนอกระบบหลายมาตรายังคุ้มครองไม่ได้จริง

“แรงงานนอกระบบไม่มีสิทธิตั้งสหภาพ เราแก้ปัญหาโดยการรวมกลุ่มอาชีพ ยกระดับเป็นเครือข่ายอาชีพ และเครือข่ายระดับพื้นที่ ระดับภาค จนเป็นสมาพันธ์แรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย เพื่อผลักดันสิทธิการเข้าถึงประกันสังคม และกฎหมายที่คุ้มครองแรงงานนอกระบบให้ใช้ได้จริง เช่น สิทธิการเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ, สิทธิการรักษาผลกระทบที่เกิดจากการทำงาน และมีการตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนจากแรงงานข้ามชาติ เช่น ผลกระทบจากการเข้าไม่ถึงสิทธิการรักษาพยาบาล ลูกเข้าไม่ถึงการศึกษา และมีการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปสู่ข้อเรียกร้องต่อไป”

จากนั้นเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ, คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย, สมาพันธ์ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย และสหภาพข้าราชการและคนทำงานภาครัฐยังร่วมกันแถลงข่าวโดยระบุว่าปัจจุบันมีแรงงานข้ามชาติจากเมียนมา, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม และอื่น ๆ รวมกว่า 4 ล้านคน ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากในการสร้างพลังการผลิต และความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่ยังคงพบการเอารัดเอาเปรียบแรงงานจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และผู้ประกอบการ กระบวนการการนำแรงงานเข้าประเทศ หรือนายหน้า บริษัทจัดหางาน โดยไม่คำนึงถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิของแรงงานข้ามชาติ ในการจ้างงานที่เป็นธรรมและมีคุณค่า (decent work) เช่น การกดราคาค่าจ้างที่ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ การทำงานในสภาวะที่เสี่ยงต่ออันตรายและไม่ถูกสุขอนามัย ยังมีการบังคับใช้แรงงาน การจ้างงานแบบทาสสมัยใหม่ จนตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์

แม้รัฐบาลจะมีความตั้งใจแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงานให้หมดไป แต่แนวปฏิบัติยังไม่ชัดเจน ทำให้แรงงานเข้าไม่ถึงสิทธิต่าง ๆ ปัจจุบันนานาชาติกดดันประเทศไทยให้มีการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง พร้อมประกาศว่าจะใช้มาตรการการกีดกันทางการค้ากับประเทศไทยกับสินค้าที่ละเมิดสิทธิแรงงาน และการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น เพราะจะกระทบทั้งระบบเศรษฐกิจของประเทศ ผู้ประกอบการผลิตสินค้าส่งออก รวมทั้งตัวแรงงานเอง อย่างไรก็ตาม เครือข่ายจึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาล ดังนี้

หนึ่ง ขอให้รัฐบาลปฏิรูปพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ และพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เพื่ออนุญาตให้คนงานทุกคนมีสิทธิที่จะจัดตั้ง และเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน มีสิทธิในการเจรจาต่อรองร่วม โดยไม่มีการแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติ กฎหมายควรให้การคุ้มครองทางกฎหมายกับสิทธิเหล่านี้ เพื่อให้คนงานสามารถใช้สิทธิเหล่านี้โดยไม่ต้องหวาดกลัว หรือไม่ต้องถูกตอบโต้

สอง ขอให้รัฐบาลรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 ทั้ง 2 ฉบับ เพื่อให้คนงานทุกคน ทุกกลุ่มสามารถรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงานอย่างมีเสรีภาพตามหลักสิทธิขั้นพื้นฐานในระดับสากล

สาม ขอให้รัฐบาลตรวจสอบค่าใช้จ่ายการนำเข้า MOU แรงงานข้ามชาติที่สูงเกินกว่าที่พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวกำหนดไว้ ซึ่งปัจจุบันยังมีสถานประกอบการจำนวนไม่น้อยที่เรียกเก็บเงินจากแรงงานที่เป็นจำนวนที่สูงกว่าพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวได้กำหนดไว้

สี่ ขอให้ยกเลิกการเอาผิดทางอาญากับความผิดฐานหมิ่นประมาท และออกกฎหมายเพื่อต่อต้านการฟ้องคดียุทธศาสตร์เพื่อขัดขวางการมีส่วนร่วมสาธารณะ (SLAPP) เพื่อประกันว่าคนงานและนักปกป้องสิทธิแรงงานจะไม่ตกเป็นเป้าการฟ้องคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่ง หากมีการใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิที่จะแสดงความเห็นต่อต้านการปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิแรงงาน


ดังนั้น ภาครัฐสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องฟังเสียงเล็ก ๆ ของพวกเขาบ้าง