“บ้านปู” ร่วม “กองทัพไทย” มอบโซลาร์เซลล์ 15 โรงเรียน

คอลัมน์ CSR Talk

เพราะการศึกษาคือรากฐานสำคัญในการสร้างอนาคตของเยาวชน ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญที่จะมาช่วยพัฒนาประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ในอนาคตกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้นำธุรกิจพลังงานแบบครบวงจรแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จึงสานต่อ “โครงการพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเรียนรู้ Light & Learn” ปีที่ 3 ด้วยความมุ่งมั่นในการนำแสงสว่างจากโซลาร์เซลล์ไปเพิ่มโอกาสด้านการเรียนรู้ให้กับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลและขาดแคลนไฟฟ้า เพื่อให้คุณครูและเด็ก ๆ มีไฟฟ้าใช้ในการเรียนการสอนตลอดทั้งวัน

โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้บ้านปูนำทีมจิตอาสาและวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานลงพื้นที่ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ ตลอดจนมอบอุปกรณ์และสื่อการเรียนรู้ให้แก่โรงเรียนในเขตพื้นที่หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 36 สำนักงานพัฒนาภาค 3 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จ.แม่ฮ่องสอน จำนวน 15 โรงเรียน เพื่อให้สามารถใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาตนเอง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“สมฤดี ชัยมงคล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพราะบ้านปูเชื่อว่าพลังความรู้คือพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา จึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับเยาวชนไทยมาโดยตลอด โดยนำหลักความยั่งยืน ESG หรือการคำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม (environmental) สังคม (social) และการกำกับดูแลกิจการ (governance)มาผสานกับความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีพลังงาน และการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และต่อยอดเป็นโครงการพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเรียนรู้ Light & Learn

“ด้วยการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่โรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร หรือในพื้นที่ห่างไกลที่ขาดแคลนไฟฟ้า เพื่อให้เด็ก ๆ เหล่านี้มีโอกาสทางการศึกษาและเปิดโลกเรียนรู้ ตลอดจนนำความรู้ที่ได้ไปเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเอง พัฒนาสังคมและประเทศชาติในอนาคต”

โครงการนี้เริ่มดำเนินการเมื่อปี 2560 และสานต่อจนก้าวสู่ปีที่ 3 โดยเมื่อปลายปี 2562 บ้านปูร่วมมือกับกองบัญชาการกองทัพไทยนำโซลาร์โซลูชั่นไปติดตั้งให้แก่โรงเรียนในเขตพื้นที่หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 36 สำนักงานพัฒนาภาค 3 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จ.แม่ฮ่องสอน จำนวน 15 โรงเรียน ในอำเภอสบเมย 8 แห่ง อำเภอปาย 4 แห่ง และอำเภอแม่สะเรียง 3 แห่ง เนื่องจากโรงเรียนเหล่านี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ดอยสูงและห่างไกลจากตัวเมืองจึงขาดแคลนไฟฟ้า ดังนั้น การนำระบบโซลาร์เซลล์เข้าไปติดตั้งจะช่วยให้เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น โดยบ้านปูนำทีมวิศวกรเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ ออกแบบระบบให้เหมาะสมกับพื้นที่ และกำลังการใช้สอยติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์พร้อมแบตเตอรี่เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าไว้ใช้ได้ตลอดทั้งวัน และสอนวิธีการดูแลรักษา นอกจากนี้ ยังมอบจานดาวเทียมและโทรทัศน์เพื่อให้เด็ก ๆ ใช้เป็นสื่อในการเข้าถึงข้อมูลและการศึกษาทางไกลอีกด้วย

“พ.อ.มนต์รัตน์ รัตนวานิช” ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 36 สำนักงานพัฒนาภาค 3 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย กล่าวเสริมว่า ต้องขอขอบคุณบ้านปูแทนพี่น้องชาวแม่ฮ่องสอนเป็นอย่างมากที่เข้ามาสนับสนุนระบบโซลาร์เซลล์ให้กับโรงเรียนต่าง ๆ ใน จ.แม่ฮ่องสอน เนื่องจากปัจจุบันมีโรงเรียนกว่า 45 เปอร์เซ็นต์ที่ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง อีกทั้งนักเรียนและคุณครูหลาย ๆ คนยังต้องพักอาศัยอยู่ที่โรงเรียน

“เนื่องจากบ้านพักอยู่ห่างไกลจากโรงเรียน ระบบโซลาร์เซลล์พร้อมแบตเตอรี่จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะสามารถเป็นแหล่งไฟฟ้าเพื่อให้เด็กได้ใช้ทบทวนหนังสือในตอนกลางคืน ยังทำให้คุณครูมีไฟฟ้าใช้เพื่อเตรียมการเรียนการสอนด้วย ที่สำคัญยังสามารถนำไฟฟ้าไปใช้กับสื่อการเรียนการสอนอย่างทีวีและดาวเทียม เพื่อการเรียนรู้ในแต่ละวันได้อีกด้วย”

“ประภาวรรณ ศรีสุวรรณ” ครูผู้ดูแลศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านแม่ออกเหนือ อำเภอสบเมย กล่าวว่า ไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับที่นี่ เพราะศูนย์ของเราอยู่ในเขตพื้นที่ห่างไกลที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง เราจึงต้องใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งตอนนี้เราสามารถใช้ไฟฟ้าจากระบบโซลาร์เซลล์เพื่อใช้ในการเรียนการสอนกับเด็ก ๆ อย่างเต็มที่ เพราะบ้านปูนำระบบโซลาร์เซลล์พร้อมกับแบตเตอรี่มาติดตั้งให้กับเรา รวมถึงยังสอนวิธีการดูแลรักษาให้ระบบมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ ดิฉันรู้สึกดีใจแทนเด็ก ๆ มาก พวกเขาจะได้เปิดสื่อการเรียนการสอนซึ่งจะช่วยให้เด็ก ๆ เข้าใจและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากโลกภายนอกได้ดียิ่งขึ้น

ถึงตรงนี้ “สมฤดี” จึงกล่าวสรุปในตอนท้ายว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีบ้านปูได้นำพลังงานโซลาร์เซลล์เข้าไปสนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลรวมกว่า 50 แห่ง เพราะบริษัทไม่อยากให้ความห่างไกลและความขาดแคลนมาเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ของเยาวชนไทย

“ดังนั้น บริษัทจะยังคงสนับสนุนการนำแสงสว่างจากพลังงานสะอาดไปมอบให้กับเด็ก ๆ ในโรงเรียนที่ขาดแคลนไฟฟ้า รวมถึงจะผลักดันการนำพลังงานสะอาดเข้าไปมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่สมาร์ทซิตี้ และเป็นสังคมที่มีทั้งความสะดวกสบาย และความยั่งยืนไปพร้อมกัน”