ต้องยอมรับว่าในวิกฤตที่เกิดจากโควิด-19 ขณะนี้ ทำให้หลายองค์กรนำศักยภาพที่ตนเองมีออกมาช่วยเหลือสังคมอย่างมากมาย บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DTGO) ที่มีจุดประสงค์ร่วมกับบริษัทในเครือ และพันธมิตร จึงดำเนินโครงการความช่วยเหลือต่าง ๆ ผ่านมูลนิธิธนินท์ เทวี เจียรวนนท์, มูลนิธิพุทธรักษา และสมาคมพี่น้องพุทธรักษา ด้วยการแบ่งความช่วยเหลือออกเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มแรก-บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขที่เป็นแนวหน้า ซึ่งเป็นกำลังหลักในการต่อสู้กับการระบาด และรักษาคนเจ็บป่วย ส่วนกลุ่มที่สอง-ครอบครัวของผู้มีรายได้น้อย และได้รับผลกระทบจากมาตรการหยุดยั้งการระบาดโรค เช่น ลูกจ้างรายวันที่ถูกพักงาน, พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ฯลฯ
โดยในส่วนของ “โครงการเดอะฟอเรสเทียส์ (The Forestias)” ภายใต้การดำเนินของ MQDC ซึ่งเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์จึงเข้ามาช่วยเหลือสังคมในกลุ่มที่สอง ด้วยเล็งเห็นความเดือดร้อนของคนที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิดขณะนี้ อีกทั้งหลักในการสร้างโครงการมีแนวคิด “สร้างเมืองคู่ป่า” จึงเปิดโครงการเพาะกล้าไม้ “Forest for Life สร้างป่า สร้างชีวิต” ขึ้นมา โดยร่วมกับมูลนิธิพุทธรักษา เครือข่ายผู้ให้ The Givers Network และกรมป่าไม้
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
สร้างป่า สร้างชีวิตพันครอบครัว
เบื้องต้น “คีรินทร์ ชูธรรมสถิตย์” ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า MQDC เป็นผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ พัฒนาโครงการต่าง ๆ ทั้งที่อยู่อาศัย, อาคารพาณิชย์, ศูนย์การค้า และสำนักงาน โดยเรามีเป้าหมาย หรือปรัชญาหลักในการพัฒนาโครงการควบคู่กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับตั้งแต่โควิดเกิดขึ้น เราเข้าไปช่วยเหลือสังคมหลายด้าน โดยจัดสรรงบประมาณรวม 50 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เราแบ่ง 25 ล้านบาทแรกไปช่วยเหลือกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขไปก่อนแล้ว ส่วน 25 ล้านบาทต่อมาเรานำงบประมาณมาดำเนินโครงการสร้างป่า โดยเดอะฟอเรสเทียส์ ภายใต้ปรัชญาให้ความใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีจุดประสงค์อยู่ 2 เรื่อง คือ
หนึ่ง จ้างงานผู้เดือดร้อน ด้วยการนำกล้าไม้ไปให้ครอบครัวที่สมัครเข้าร่วมเป็นเครือข่ายของโครงการ ตามที่กำหนดจากชุมชน ไปดูแลอนุบาลให้เติบโตขึ้น เป็นระยะเวลา 90 วันโดยประมาณ และจะมีเงินช่วยเหลือให้ครอบครัวละ 15,000 บาท แบ่งจ่ายเดือนละ 5,000 บาท 3 เดือน
สอง เพิ่มพื้นที่สีเขียว กล้าไม้ที่ชุมชนดูแลจะถูกนำไปแจกจ่ายให้กับหน่วยงานราชการ เช่น กรมป่าไม้, กองสาธารณะ กรุงเทพมหานคร สำหรับสร้างเสริมพื้นที่สีเขียว หรือนำไปร่วมโครงการแจกกล้าไม้คนเมืองให้แก่ประชาชนทั่วไป หรือหากชุมชนที่รับต้นกล้าไปดูแลต้องการพื้นที่สีเขียวก็จะมอบให้ และบางส่วนจะนำมาปลูกกับโครงการเดอะฟอเรสเทียส์
ทั้งนั้น โครงการตั้งเป้าหมายช่วยผู้เดือดร้อนประมาณ 1,000 ครัวเรือน กับจำนวนกล้าไม้ที่เตรียมไว้ 1.2 ล้านต้น โดยแบ่งเป็น 2 เฟส ซึ่งเฟสแรก 500 ครัวเรือน ดูแลกล้าไม้ 6 แสนต้น และเฟสสองอีก 500 ครัวเรือน กับกล้าไม้ 6 แสนต้น
นำร่องชุมชนวัดทุ่งเหียง จ.ชลบุรี
“ดร.วิทย์ สุนทรนันท์” รองประธานมูลนิธิพุทธรักษา กล่าวเสริมว่า โครงการเปิดรับสมัครชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ กทม. ปริมณฑล และพื้นที่ใกล้เคียง เนื่องจากข้อจำกัดด้านการขนส่งกล้าไม้ ดังนั้น แต่ละชุมชนจะต้องเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนจริง และต้องมีพื้นที่เพื่อวางกล้าไม้อย่างน้อย 20 ตารางเมตร หรือมีพื้นที่สาธารณะชุมชน เช่น บ้าน, โรงเรียน สำหรับดูแล ขณะนี้เริ่มนำร่องที่ชุมชนวัดทุ่งเหียง ต.หมอนนาง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี จำนวน 26 ครัวเรือนก่อน
“ข้อมูลที่เราพบจากชุมชนวัดทุ่งเหียงคือบางครอบครัวประสบปัญหาขาดรายได้ทั้งครอบครัว เพราะสมาชิกในบ้านจำนวน 4-5 คน ต้องตกงานทุกคน ทำให้ไม่มีเงินเลี้ยงชีพ ดังนั้น การเข้ามาร่วมโครงการนี้จึงช่วยทำให้ชุมชนมีรายได้พอเลี้ยงชีพในช่วงเวลา 3 เดือน นอกจากชุมชนวัดทุ่งเหียงที่จะร่วมโครงการช่วงแรกประมาณ 26 ครัวเรือน ยังมีชุมชนที่แจ้งความจำนงมาคือชุมชนบ้านอำเภอ ต.หมอนนาง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมอีกจำนวน 120 ครัวเรือน”
“นอกจากนี้ ยังเตรียมขยายพื้นที่ไปยังชุมชนอื่น ๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการประสานกับทางสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ดำเนินการจัดหาชุมชน และกลุ่มคนไร้บ้านเพื่อเข้าร่วมโครงการอีกด้วย”
“ดร.วิทย์” กล่าวต่อว่า การช่วยเหลือครั้งนี้ไม่ใช่การช่วยเหลือระยะสั้น เพราะเราซื้อกล้าไม้มาจากชุมชนที่เป็นเครือข่ายเพาะกล้าของทางกรมป่าไม้ ซึ่งทำการเพาะกล้าเพื่อจำหน่ายเป็นการสร้างรายได้ ทำให้ชุมชนเพาะกล้าเหล่านั้นได้รับเม็ดเงินค่ากล้าไม้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และเรานำมาให้ครอบครัวเป้าหมายโครงการนี้ช่วยดูแลต่ออีก 3 เดือน
“สำหรับกล้าไม้พันธุ์ต่าง ๆ แต่ละครัวเรือนจะได้รับไปดูแล 1,200 ต้น โดยที่ 1,000 ต้น จะเป็นกล้าไม้ กลุ่มป่าไม้ และไม้พุ่มรวมถึงไม้มีค่าต่าง ๆ เช่น ไม้สัก, มะค่าโมง, ประดู่ป่า, ตะเคียนทอง, มะฮอกกานี, ชิงชัน, แคนา, พะยูง และอีก 200 ต้น จะเป็นพืชสวนครัว ที่สามารถเก็บไว้บริโภคในครัวเรือน เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และหากมีเหลือพอ ชุมชนยังนำไปจำหน่ายเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งด้วย”
The Forestias ป่าใจกลางเมือง
สำหรับต้นไม้ที่ได้รับการดูแลจากชุมชนจำนวน 5 แสนต้น จะถูกนำมาปลูกที่โครงการเดอะฟอเรสเทียส์ (The Forestias) ซึ่งเป็นเมกะโปรเจ็กต์ 1.25 แสนล้าน บนถนนบางนา-ตราด กม.7 ด้วยพื้นที่กว่า 398 ไร่ โดยเดอะฟอเรสเทียส์ดำเนินโครงการที่เน้นความยั่งยืนทุกมิติ โดยใช้โจทย์ปัญหาใหญ่ที่พบในสังคมมาพัฒนาโครงการคือปัจจุบันคนมีความสุขน้อยลงจากการเป็นโรคซึมเศร้าในสังคม อีกปัญหาคือการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะภาวะโลกร้อนที่นับวันพื้นที่สีเขียวค่อย ๆ หายไป และพลังงานโลกเริ่มหมดไป ซึ่งปัญหาดังกล่าวได้นำมาสู่โจทย์ในการสร้างโครงการที่นำเสนอแนวคิดในรูปแบบ enchanted community district in the forest ภายใต้สโลแกน Imagine Happiness
“กิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์” ผู้อำนวยการอาวุโส โครงการ The Forestias by MQDC กล่าวว่า โครงการเดอะฟอเรสเทียส์ ถือเป็นอสังหาริมทรัพย์โครงการแรกของโลกที่คนเราสามารถอาศัยอยู่รวมกันภายใต้สิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพ และเอื้อประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต รวมทั้งให้ทุกคนสามารถอยู่ และร่วมกันทำกิจกรรมอย่างมีความสุขแบบยั่งยืน จุดเด่นของโครงการที่สำคัญคือการมอบพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ประมาณ 30 ไร่ เป็นผืนป่าใจกลางโครงการ โดยจะเป็นป่าที่แท้จริง เพื่อสร้างระบบนิเวศที่สมดุลให้คืนกลับมาใหม่
“เราอยากสร้างเมืองให้ความสุขแก่ผู้อยู่อาศัย โดยเน้นเรื่องหลักคือความสุขของผู้อยู่อาศัย และอยู่กับธรรมชาติ เรามีการประมาณว่าต้นไม้น้อยใหญ่ที่ปลูกในโครงการนี้มากกว่า 5 แสนต้น เพราะฉะนั้น การสร้างป่าของเราจึงไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่จะทำให้ระบบนิเวศยั่งยืนขึ้น เราอยากให้สิ่งมีชีวิตที่เคยมีที่อยู่อาศัย เช่น นก แต่อพยพออกไปเพราะถูกลุกลามจากการพัฒนาเมืองกลับเข้ามา เราจึงทำให้เป็นบ้านที่มีความสุข ให้สัตว์ สิ่งมีชีวิต มีที่อยู่อย่างเหมาะสม”
อย่างไรก็ดี การสร้างป่าครั้งนี้ นับเป็นการขยายพื้นที่สีเขียวในวงกว้างมากขึ้น และอยากให้ทุกคนในชุมชนร่วมกันส่งต่อขยายผลโครงการให้งอกเงย และออกไปในวงกว้างมากที่สุด เพราะหากชุมชนมองเห็นโอกาสจากการสร้างป่า สร้างชีวิตแล้ว แน่นอนว่าผลดีย่อมตกกับชุมชน เพราะหากชุมชนช่วยเหลือตนเองได้ มีรายได้เพียงพอ ไม่เดือดร้อน สังคมจะมีความสุข
จึงนับเป็นโครงการช่วยเหลือสังคมที่ครอบคลุมทั้ง 2 ด้าน ทั้งในส่วนที่ช่วยคนเดือดร้อน ไปพร้อม ๆ กับการสร้างป่า อันเป็นเป้าหมายหลักในการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ MQDC