“แสนสิริ” ผนึก “ชาร์จ” ภารกิจสู่ Sustainable Living

นับตั้งแต่ “แสนสิริ” ประกาศโมเดลธุรกิจ “Sansiri Green Mission” เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนในทุกโครงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อม และการจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน โดยตั้งใจจะลดการใช้พลังงานและปล่อยของเสียลง ให้ได้ปีละมากกว่า 10% ในทุกโครงการอย่างต่อเนื่องนาน 3 ปี (2562-2564) นับว่าเป็นโมเดลธุรกิจเปลี่ยนโลก ตอกย้ำความเป็นผู้นำของอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงรักษาเรื่องเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยให้กับลูกค้าในแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุด

จากข้อมูลการดำเนินการ Sansiri Green Mission ในปี 2562 ที่ผ่านมา พบว่าสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงถึง 1,970 ตัน (จากเป้าที่ตั้งไว้ 2,120 ตัน ใน 3 ปี) ทำให้ปีนี้ แสนสิริจะยกระดับสู่ “Sansiri Sustainability 2020” จากการสานต่อพันธกิจด้านความยั่งยืนต่อเนื่องได้อย่างแน่นอน

ในปีนี้แสนสิริต้องการมุ่งเน้นส่งเสริมลูกบ้านขับเคลื่อนชีวิตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเล็งเห็นเทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมา สภาพสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหามลพิษ เช่น ฝุ่น PM 2.5 ฯลฯ จึงได้ผนึกกำลังกับ “ชาร์จฯ” (SHARGE Management) ผู้ให้บริการด้านพลังงานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างครอบคลุม (leading electric vehicle charging solution provider) ตั้งเป้าผลักดันให้เกิดความตระหนักในการใช้รถยนต์ EV ในประเทศไทย โดยเตรียมพร้อมขยายจุดให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าครอบคลุมทั้งคอนโดฯทุกเซ็กเมนต์ และต่อยอดไปสู่บ้านเดี่ยว

อภิชาติ จูตระกูล
“อภิชาติ จูตระกูล”

“อภิชาติ จูตระกูล” ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การผนึกความร่วมมือกับชาร์จฯในการส่งเสริมความยั่งยืนเรื่องพลังงานครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องใหม่ของแสนสิริ โดยบริษัทมีเป้าหมายให้คนทั่วไปหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เพราะเชื่อว่าทุกคนรักษ์โลก และอยากจะช่วยรักษาสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น แต่พวกเขาอาจไม่รู้ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง

“ที่ผ่านมาประเทศไทยเริ่มมีการใช้รถยนต์ระบบไฮบริด (hybrid) ที่ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงลงได้เกือบเท่าตัว แต่รถยนต์ EV มีประสิทธิภาพในการช่วยสิ่งแวดล้อมและประหยัดเงินมากกว่า อีกทั้งขณะนี้ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจรถยนต์ EV เพียงแต่ประเทศไทยยังมีผู้ใช้น้อยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ รวมถึงสถานีชาร์จไฟสำหรับรถ EV ในไทยยังมีน้อย จึงไม่เอื้อต่อการให้คนไทยใช้”

“ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน รถยนต์ EV จะได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศไทย หากหลายหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนช่วยกันส่งเสริม เพราะรถยนต์ EV มีประโยชน์หลายด้าน ทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่ารถยนต์น้ำมัน สร้างมลพิษน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงแบบอื่น ๆ ทั้งยังช่วยให้ประเทศชาติลดการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกได้ เพราะปล่อยมลพิษน้อยมากจนเกือบจะเท่ากับศูนย์ ช่วยทำให้เรามีอากาศบริสุทธิ์”

“2-3 ปีที่ผ่านมา แสนสิริให้บริการรถยนต์ไฟฟ้า SMART MOVE แก่ลูกบ้านทั้งหมด 11 คัน และนำร่องใช้ Audi e-tron รถยนต์ลักเซอรี่พลังงานไฟฟ้ามาใช้ภายในองค์กรแสนสิริอย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้นในปีนี้ แสนสิริจึงให้ความสนใจขยายจุดชาร์จในโครงการเพิ่มขึ้น ตอบรับการใช้รถยนต์ EV ของลูกบ้านในอนาคต”

สำหรับการร่วมมือกับ “ชาร์จฯ” ครั้งนี้ แสนสิริมีแผนขยายการให้บริการ 2 ด้าน คือ

หนึ่ง เพิ่มฟีเจอร์การจอง-จ่ายจุดชาร์จ (EV charging station) กว่า 200 หัวชาร์จ ของบริษัทชาร์จฯ และเครือข่ายที่กระจายอยู่ทั้งในที่พักอาศัย และแหล่งไลฟ์สไตล์ ผ่านแอปพลิเคชั่น Sansiri Home Service อำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านเช็กว่าที่ชาร์จว่างหรือไม่ได้ โดยไม่ต้องเดินมาดู และสามารถจ่ายเงินได้ด้วยบัตรเครดิต

สอง ยกระดับความสะดวกของลูกบ้านในการเดินทางด้วยรถ EV โดยจะติดตั้งจุดชาร์จที่โครงการคอนโดมิเนียม เพิ่มหัวชาร์จให้ครบทั้งหมด 81 หัวชาร์จ ใน 25 โครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ภายในปี 2020 และโครงการบ้านเดี่ยว โดยจะมีการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับการชาร์จรถ EV แบบ 3 เฟส ในโครงการบ้านเดี่ยวเซ็กเมนต์ B ขึ้นไป อาทิ เศรษฐสิริ พหล-วัชรพล, เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา 2 และบ้านแสนสิริ พัฒนาการ เพื่อช่วยลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่าย

“อภิชาติ” กล่าวอีกว่า รากฐานเรื่องความยั่งยืนของเรา คือ ลูกค้า พนักงาน และผู้ถือหุ้น เรากำลังพยายามให้ทุกคนตระหนักถึงความยั่งยืน และการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องพลังงาน แต่เราให้ความสำคัญกับเรื่องการจัดการขยะ-ของเสีย (waste management) การลดใช้พลาสติก โดยที่ผ่านมามีการทำ wind turbine หรือการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ใช้ในพื้นที่จำกัดในเมือง เรานำมาติดในโครงการแสนสิริ และโครงการบ้านแนวราบ แนวสูง และเป้าหมายต่อไปจะขยายจุดชาร์จรถ EV ให้ครอบคลุมทุกโครงการไปเรื่อย ๆ

“ในส่วนของแอป Sansiri Home Service ตอนนี้เรามีลูกบ้านประมาณ 46,000 คนที่ใช้แอป จากจำนวนลูกบ้านทั้งหมดประมาณ 100,000 คน นอกจากเราเพิ่มจุดเด่นของแอปด้วยฟังก์ชั่นของ SHARGE แล้ว เรายังตอบโจทย์ลูกบ้านอีกหลายด้าน เช่น การติดต่อกับนิติบุคคล ดูประกันมิเตอร์ไฟ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ บริการ visitor management (บริหารจัดการแขกที่มาเข้าออกบ้าน) และในช่วงที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาด เราได้จัดให้แอปสามารถเชื่อมต่อกับโรงพยาบาลสมิติเวช เพื่อให้ลูกบ้านสามารถปรึกษาสุขภาพ รวมไปถึงพาร์ตเนอร์กับบริษัทที่รับทำความสะอาดบ้านให้ลูกบ้าน เป็นต้น”

“พีระภัทร ศิริจันทโรภาส” ผู้อำนวยการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นต์ จำกัด กล่าวเสริมว่า ภาพรวมรถยนต์ไฟฟ้าที่จดทะเบียนอยู่ในไทยตั้งแต่ปี 2562 จนถึงเดือนเมษายน 2563 มีประมาณเกือบ 160,000 คัน แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ 1.ไฮบริด หรือ HEV (hybrid electric vehicle) 2.ปลั๊ก-อิน ไฮบริด หรือ PHEV (plug-in hybrid electric vehicle) 3.แบตเตอรี่อิเล็กทริก หรือ BEV (battery electric vehicle) โดยกลุ่มเป้าหมายของเรา คือ PHEV และ BEV ซึ่งมีประมาณ 40,000 คัน เพราะ 2 รุ่นนี้ง่ายต่อการใช้ โดยมีปลั๊กให้สามารถเสียบชาร์จได้ อีกทั้งยังวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่ารถที่เป็นระบบไฮบริด

"พีระภัทร ศิริจันทโรภาส"
“พีระภัทร ศิริจันทโรภาส”

“การใช้รถไฟฟ้าจะช่วยเซฟค่าใช้จ่ายจากการเติมน้ำมันลงเกือบครึ่งของเรตราคาน้ำมัน เช่น ราคาน้ำมัน 2 บาท แต่ค่าใช้จ่ายรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 1 บาท แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังไฟฟ้าด้วย ตอนนี้ตลาดรถยนต์ EV ในไทยโตอยู่ที่ประมาณ 16% ต่อปี ในขณะที่ต่างประเทศส่งเสริมการใช้รถยนต์ EV มากกว่าประเทศไทย เช่น จัดโปรแกรมลดราคา หรือรัฐบาลช่วยเรื่องภาษี จึงคาดว่าจะโตเพิ่มประมาณ 30-40% และจากการประเมินแนวโน้มความต้องการหัวชาร์จพบว่า หาก 1 หัวชาร์จสามารถให้บริการรถพลังงานไฟฟ้าได้ 2 คัน เท่ากับว่าจะต้องมีหัวชาร์จเพิ่มขึ้นทั้งหมด 50,000 หัวชาร์จ ภายในปี 2025 ในประเทศไทย”

“ตอนนี้บริษัททำอยู่ 2 ส่วนหลัก ๆ คือ ระบบฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ ในส่วนของฮาร์ดแวร์ เราให้บริการอุปกรณ์การชาร์จ ส่วนของซอฟต์แวร์ คือ ระบบ IOT (internet of thing) ระบบคอนโทรลเครื่องชาร์จเชื่อมกับโทรศัพท์มือถือ เช่น การเชื่อมต่อบนแอปพลิเคชั่น Sansiri Home Service ผู้ใช้งานรถยนต์ EV 80% มีพฤติกรรมในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน, 15% ชาร์จตามสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น ออฟฟิศ ห้างสรรพสินค้า และ 5% ที่จุดให้บริการหรือสถานที่พักรถ”

“ในส่วนของชาร์จฯได้ดำเนินธุรกิจเพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมการชาร์จกว่า 95% ในโครงการที่พักอาศัย บ้านเดี่ยว และห้างสรรพสินค้า ตึกออฟฟิศ และศูนย์ประชุมต่าง ๆ โดยความร่วมมือกับแสนสิริครั้งนี้ถือเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่รายแรกที่เราทำพาร์ตเนอร์ชิปด้วย”

ทั้งนั้น เพราะเป้าหมายหลักของ “แสนสิริ” และ “ชาร์จฯ” คือ พยายามสร้างความตระหนักการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และทำให้คนไทยได้รู้ว่าสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีอยู่ที่ใดบ้าง ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้าแจ้งเกิดในประเทศไทย และการที่มีสถานีเพียงพอจะทำให้คนกล้าที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น