คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ
โดย สาโรจน์ มณีรัตน์
จริง ๆ แล้วการพาตัวเองออกไปฟังคนอื่นพูดบ้างนั้นเป็นเรื่องดี เพราะสิ่งที่เราคิด กับสิ่งที่เราทำ อาจไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องเสียทีเดียว
เพราะบางที เราอาจคิดเอง เออเอง
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
จนเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำมาอย่างยาวนานนั้นถูกต้อง
แต่จริง ๆ อาจไม่ถูกต้องก็ได้
โดยเฉพาะเรื่องความสำเร็จ
เนื่องจากเส้นทางของความสำเร็จ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่หนทางเดียว
แต่อาจมีทางแยก
มีทางให้เลี้ยวซ้าย และเลี้ยวขวาอีกมากมายที่เราจะต้องฝ่าฟัน เพื่อเดินไปให้ถึงจุดหมาย
ซึ่งเหมือนกับงานสัมมนาหลายงานที่ผมมีโอกาสฟัง โดยเฉพาะประเด็นต่าง ๆ ที่วิทยากรพูดถึงความสำเร็จในแง่มุมต่าง ๆ ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนการเดินทางไปสู่ความสำเร็จนั้นค่อนข้างยาก โดยเฉพาะความสำเร็จที่เกี่ยวข้องกับการวางรากฐานสู่ความยั่งยืนในอนาคต
เพราะวิทยากรแต่ละท่านต่างมีมุมมองที่คล้ายกัน หรือแตกต่างกันออกไป
แต่กระนั้น ในองค์รวมของความคิดที่กระจัดกระจาย ผมจับใจความได้อย่างหนึ่งว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ไม่ว่า
จะเป็นความสำเร็จของภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน โดยเฉพาะกับเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน จะต้องมีองค์ประกอบหลักเสียก่อน คือ การรู้จักตัวเอง
ถามว่า การรู้จักตัวเองเป็นอย่างไร ?
คำตอบคือ การค้นหา “พระเอก-นางเอก” ของตัวเองให้เจอ เพราะการค้นหา “พระเอก-นางเอก” ต่างเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่มีอยู่ในชุมชน ตำบล อำเภอ จังหวัด และประเทศชาติ
รวมไปถึงองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนด้วย
ฉะนั้น ถ้าเราค้นหา “พระเอก-นางเอก” เจอ เราจะพัฒนาจากสิ่งที่มีอยู่ ด้วยการลองผิดลองถูก ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าอยู่เรื่อย จนทำให้เกิดการพัฒนากระบวนการเรียนรู้
กระบวนการเรียนรู้นี่เอง จะทำให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ เกิดมุมมองใหม่ และเกิดประสบการณ์ กระทั่งแตกหน่อ ต่อยอดออกไปเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนในที่สุด
ฟังดูเหมือนง่าย
แต่จริง ๆ แล้วยากมาก
เพราะเรื่องดังกล่าวต่างเกี่ยวเนื่องกับความอดทน และรอคอยของคนในสถานที่ต่าง ๆ เหล่านั้นด้วย ทั้งยังเกี่ยวข้องกับความวิริยอุตสาหะอีกประการ
สำคัญที่สุด คือ เกี่ยวข้องกับ “จิตใจ” ที่จะแข็งแกร่งพอหรือไม่ เพื่อจะขับเคลื่อนแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปให้สุดปลายทาง
จนเกิดความสำเร็จตามมา
เพราะระหว่างทางของการเดินทางไปสู่แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ต่างเต็มไปด้วยอุปสรรคนานัปการ บางคนเดินแล้วหยุด บางคนเดินหน้าแล้วถอยหลัง
หรือบางคนถอดใจเสียก่อน จนไม่มีแรงพอที่จะเดินต่อไป
ทั้งนั้นเพราะ “ใจ” ของพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ
ผมถึงบอกว่า การมาฟังกูรูแต่ละท่าน มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์มุมมอง ในเรื่องที่เรามีความรู้แค่หางอึ่งบนเวทีสัมมนา จึงเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง
เพราะนอกจากจะทำให้เราเกิดมุมมองใหม่
ยังทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้นด้วย
เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้อยู่ในตำราเล่มใด ๆ เลย เราจึงต้องพยายามแสวงหาความรู้ ด้วยการลงพื้นที่ออกไปพูดคุยกับบุคคลต่าง ๆ ที่เขามีความเชี่ยวชาญบ้าง
เพื่อไปดูให้เห็นกับตา
ไปฟังด้วยหูของตัวเอง
และไปสัมผัสด้วยจิตใจ
เท่านั้นเราจะรู้แล้วว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นต่างมีที่มาที่ไป ต่างมีกระบวนการในการลงมือทำงานมาอย่างยาวนาน ถึงจะทำให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จโดยดี
ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ หรอก
ถ้าไม่ลงมือทำ
ผมเชื่อเช่นนั้นนะ
และผมก็เชื่อด้วยว่า แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่ได้เกิดจากวิสัยทัศน์ของใครคนใดคนหนึ่ง หากเกิดขึ้นจากการลงมือทำอย่างต่อเนื่องของคนที่ตั้งใจจริง
ถึงจะทำให้ความสำเร็จเกิดขึ้นในบัดดล
ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับสังคม ชุมชน ภาครัฐ ภาคเอกชน จะสนใจทำจริง ๆ หรือเปล่า เพราะหลายอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากมหันตภัยไวรัสโควิด-19 เข้ามาบนโลกใบนี้ ต่างทำให้มนุษย์บนโลกเริ่มประจักษ์ชัดถึงความไม่แน่นอนในชีวิต
จนหลายคนเริ่มประจักษ์ชัดว่า การงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ไม่มีความมั่นคงเอาเสียเลย
ฉะนั้น จะทำอย่างไรถึงจะให้ตัวเองและครอบครัวมีความมั่นคงในชีวิต ?
หลายคนกลับบ้านเพื่อมองหาหนทางที่จะอยู่กับมันให้ได้
หลายคนกลับบ้านเพื่อถามพ่อแม่ พี่น้องว่า…ที่ดินของเราสามารถทำอะไรได้บ้างหรือไม่ ?
ยิ่งตอนนี้ คนหนุ่ม-สาวกลับบ้านกันเยอะมาก เพื่อหันไปใช้ชีวิตเกษตรกรรุ่นใหม่ แต่ผมไม่สามารถให้คำตอบได้ว่า สิ่งที่พวกเขาทำอยู่จะเกิดความมั่นคงในชีวิตอย่างยั่งยืนหรือไม่ เพราะของอย่างนี้ต้องดูกันยาว ๆ
ต้องดูกันนาน ๆ
เพราะความสำเร็จไม่ได้มาง่าย ๆ หรอก…ถ้าไม่ลงมือทำ ?