ทำธุรกิจให้รอด ในภาวะปกติใหม่

การบริหารงานบุคคล
คอลัมน์ CSR Talk
พิพัฒน์ ยอดพฤติการ

เป็นเวลากว่า 6 เดือนที่สถานการณ์โควิดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับมหภาค และต่อธุรกิจในระดับจุลภาค โดยยังไม่มีทีท่าว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงในเร็ววันจนกว่าจะมีการพัฒนาวัคซีนที่สามารถระงับการแพร่ระบาดของโรคนี้ได้

หลายธุรกิจที่อดทนกัดฟันรอว่าสถานการณ์จะดีขึ้นจากการที่สามารถควบคุมการระบาดในประเทศได้ แต่ในหลายประเทศพบว่ามีการระบาดรอบใหม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเหตุทำให้การเดินทางระหว่างประเทศยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ มาตรการกักกันจึงยังคงต้องดำเนินต่อไปโดยกลุ่มที่กระทบมากสุด ได้แก่ ธุรกิจการบินและการท่องเที่ยว รวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องโรงแรม ที่พัก นำเที่ยว รถเช่าของฝากเป็นต้น

ในเมื่อจุดที่สถานการณ์สิ้นสุดไม่สามารถคาดการณ์ได้ ธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับองคาพยพเพื่อความอยู่รอด และรักษาธุรกิจให้สามารถผ่านพ้นสถานการณ์ไปได้โดยสิ่งที่ธุรกิจพึงพิจารณาดำเนินการประกอบด้วย

การลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในช่วงต้นสถานการณ์ ธุรกิจยังมีเงินสดหรือสภาพคล่องในกิจการที่พอจะรับมือได้ ครั้นเวลาผ่านไปธุรกิจมีการดึงเงินออม หรือเงินเก็บมาใช้ประคับประคองตัว แต่เมื่อรายรับไม่เข้าเพียงพอกับรายจ่ายที่ออกไป ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ระดับของมาตรการอย่างอ่อน เช่น การลดค่าใช้จ่ายเดินทาง งบประมาณเลี้ยงรับรอง ค่าทำงานล่วงเวลา ฯลฯ ไปจนถึงอย่างเข้ม เช่น การลดพนักงานการปิดสาขาบางแห่ง ฯลฯ

การปรับแพลตฟอร์มธุรกิจให้ตอบสนองต่อพฤติกรรมของลูกค้า หรือผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม สถานการณ์โควิดได้สร้างแบบแผนการใช้ชีวิต หรือกิจวัตรประจำวันในรูปแบบใหม่ ทั้งการเว้นระยะห่างทางสังคม (physical distancing) การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (work from home) การใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล (personal protective equipment)

กล่าวกันว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นตัวเร่งให้เกิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติอย่างขนานใหญ่ทั้งการทำธุรกรรมออนไลน์ การจัดส่งพัสดุถึงหน้าประตูบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางและการสัมผัส ธุรกิจจำต้องปรับแพลตฟอร์มเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและทรัพยากรภายใต้ห่วงโซ่คุณค่าใหม่บนฐานดิจิทัล เพราะมีแนวโน้มว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะยังคงดำเนินสืบเนื่องต่อไปจนกลายเป็นภาวะปกติใหม่ (new normal)

การเปลี่ยนโมเดลธุรกิจให้มีความยืดหยุ่น และมีความยั่งยืนในระยะยาวธุรกิจในหลายสาขาได้ประสบกับภาวะความชะงักงันในสายอุปทาน ทั้งวัตถุดิบที่ขาดแคลน แผนการส่งมอบที่ถูกเลื่อน/ยกเลิก ช่องทางการจัดส่ง/จำหน่ายถูกปิดในช่วงที่เกิดสถานการณ์เป็นบทเรียนให้ธุรกิจจำต้องพิจารณาดำเนินการป้องกัน/กระจายความเสี่ยงหรือเสริมสร้างกลไกที่ลดการพึ่งพิงผู้ส่งมอบหลักที่อยู่ในประเทศอื่น(offshore) มีการย้ายฐานการผลิตกลับมาอยู่ในอาณาเขต หรือใช้ผู้ส่งมอบที่อยู่ใกล้แหล่งดำเนินงานแทน

รวมไปถึงการดูแลปกป้องสุขภาพของบุคลากรในองค์กรและในห่วงโซ่ธุรกิจ มิให้ได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ (pandemic) เช่นในครั้งนี้ จึงทำให้เรื่องวัฒนธรรมสุขภาพ กลายเป็นประเด็นสาระสำคัญเพื่อการพัฒนาสู่ความยั่งยืนขององค์กรในระยะยาว

ข้อพิจารณาในการ “ลด-ปรับ-เปลี่ยน” ข้างต้นจะช่วยให้ธุรกิจเห็นแนวทางการดำเนินงานโดยไม่ต้องรอด้วยความหวังในภาวการณ์ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสถานการณ์จะสิ้นสุดลงเมื่อใด