SEAC รีเฟรมธุรกิจ ยกเครื่องตอบโจทย์ Just in Time

“ถือเป็นความโชคดีของ SEAC (Southeast Asia Center) หรือศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน ที่เปิดตัว YourNextU มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2562 ด้วยรูปแบบให้บริการเรียนออนไลน์แบบผสมผสาน (blended learning community) และหลังจากวิกฤตโควิด-19 จากนี้ไป จึงไม่ต้องปรับตัวมากนัก เพราะมีต้นทุนอยู่แล้ว ในขณะที่องค์กรอื่นอาจต้องปรับตัวนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น

แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่าต้นทุนที่มีอยู่แล้วจะดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น SEAC จึงต้องมองหาเทรนด์การเรียนรู้ พร้อมกับรีเฟรมธุรกิจแบบติดสปีดเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของสมาชิกที่เป็นลูกค้าได้ทันท่วงที”

“อริญญา เถลิงศรี” กรรมการผู้จัดการ SEAC กล่าวในเบื้องต้นพร้อมกับอธิบายต่อว่า หากย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 SEACเปิดตัว YourNextU รูปแบบเรียนออนไลน์ผสมผสานเป็นครั้งแรกผ่านให้บริการ 4 รูปแบบ ได้แก่ onlineที่เน้นการเรียนรู้ผ่านหลักสูตรด้วยวิดีโอคลิป หรือ visual ต่าง ๆ, inline ที่เน้นการเข้าคลาสเวิร์กช็อปเพื่ออบรมในหลักสูตรต่าง ๆ กับวิทยากรที่ผ่านการcertify จากสถาบันฝึกอบรมชั้นนำมาแล้ว จนมาเรียนที่สถาบัน SEAC

“รวมถึง beeline การเรียนรู้แบบการเข้าร่วมสัมมนาหรือกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อมูลจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน วิทยากร นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้านต่าง ๆ และ frontline คลังการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลการเรียนรู้ได้อย่างไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นบทความ, หนังสือ หรือวิดีโอคลิป เพื่อสามารถดาวน์โหลดมาเก็บไว้ดูหรืออ่านได้ โดยมีหลักสูตรทั้งหมดมากกว่า 300 หลักสูตรด้วยกัน”

“แต่ทั้งนี้รูปแบบของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการกว่า 80% ยังเป็นแบบเรียนในห้องเรียน ขณะที่ 20% คือคนที่เรียนผ่านออนไลน์ ดังนั้นเมื่อเกิดโควิด-19 แน่นอนว่าคลาสเรียนในห้องกลายเป็นศูนย์ ฉะนั้นการแก้วิกฤตของเราที่ผ่านมาจึงต้องยกคลาสทั้งหมดไปไว้บนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เรามี ทำให้ลูกค้าเข้ามาเรียนผ่านออนไลน์เพิ่มเป็น 40% และมี 30% เรียนแบบ virtual class นั่นหมายถึงคนยังให้ความสนใจที่จะเรียนรู้อยู่”

“เมื่อดูเทรนด์การเรียนรู้ในต่างประเทศ พบว่าเทคโนโลยีเติบโตเร็วมาก โดยเฉพาะช่วงวิกฤตโควิดมีแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นวันต่อวัน ขณะที่คนก็เริ่มมองหาการเรียนรู้หลากหลายขึ้นอย่างจีน ในช่วงที่มีการปิดเมืองกว่า 70%ของประชากรในประเทศตื่นตัวในการเรียนรู้ เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา 68% ของคนลุกขึ้นมาหาคอร์สพัฒนาทักษะเรียนรู้แบบผสมผสาน แบบที่คนไม่จำเป็นต้องนั่งเรียนออนไลน์อย่างเดียวแล้ว แต่ในวันนี้มีแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่รวมรูปแบบการเรียนหลากหลาย ทั้งห้องเรียนเสมือนจริง แบบ webinars ตลอดจนสามารถทำแบบประเมินวัดความเข้าใจออนไลน์ได้”

“อริญญา” กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทย ในธุรกิจการเรียนรู้ถือว่าเราช้าพอสมควร แม้แต่ SEAC ที่มองเห็นเทรนด์มาตั้งแต่ปี 2562 เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ก็ยังไม่ทัน หากเปรียบเทียบกับรถแข่ง ถือว่าแซงประเทศไทยไปไกลพอสมควร ดังนั้นจึงทำให้เราต้องเร่งปรับbusiness model เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้า ด้วยการผนึกกำลังพนักงานของเราทุกคนให้ทำงานแบบ agile ทั้งยังแบ่งกลุ่มย่อยออกเป็นหลายกลุ่มเพื่อสำรวจความต้องการของลูกค้า เทรนด์ต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางดำเนินธุรกิจ จนกระทั่งพบเทรนด์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้น 3 เรื่อง ได้แก่

หนึ่ง พฤติกรรมของลูกค้าสะท้อนภาพความต้องการเรียนรู้แบบ “just intime learning” เพื่อนำไปใช้แบบ just in time หรือรูปแบบการเรียนรู้ที่เรียนวันนี้ใช้วันถัดไป หรือเรียนตอนนี้ คืนนี้ เอาไปใช้พรุ่งนี้ได้เลย ด้วยการมุ่งเน้น how-to ที่ตอบสนอง emergent needs ของคนที่ต้องเผชิญกับรูปแบบธุรกิจ การบริการ และการทำงานที่เปลี่ยนไปได้ทันที โดยเฉพาะโควิด-19 ไม่มีใครอยากใช้เวลาเรียนรู้นานถึง 3-4 เดือน เพราะเสียเวลา

สอง การเรียนรู้ที่มุ่งเน้นเป้าหมาย (purpose-driven) เมื่อคนมองเห็นความไม่แน่นอน และเริ่มมองไปไกลขึ้นว่า หากอยากจะทำอาชีพนี้ต่อ มีเป้าหมายด้านการทำงานแบบนี้ ต้องทรานส์ฟอร์มตัวเองอย่างไร ต้องอัพเกรดทักษะไหนบ้าง เพื่อไปต่อในโลกใหม่ ซึ่ง SEAC มีลูกค้ากลุ่มนี้ 40% เช่น คนที่อยู่ในธุรกิจโรงแรม ท่องเที่ยว ฯลฯ

สาม การเรียนรู้แบบผสมผสาน (truly blended) หลายคนกลัวว่าตนเองจะตกงานและสูญเสียรายได้ จึงมองหาการเรียนรู้ที่มีมิติมากกว่าในอดีต ไม่จำเป็นต้องเรียนแค่ในห้องเรียน

“อริญญา” กล่าวต่อว่า เทรนด์เหล่านี้เป็นโจทย์ที่ SEAC นำมารีเฟรมธุรกิจ เราวางตัวเองเป็นผู้เล่นหลักใน education technology (EdTech) ecosystem ที่นำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนของเรามากขึ้น ผสมผสานกับการเรียนการสอนแบบเรียนในห้อง โดยวางกลยุทธ์และโรดแมปในการรุกตลาดการเรียนรู้ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.องค์กร – เน้นการให้คำปรึกษาและโซลูชั่นที่มีบริบทเฉพาะตัว เหมาะสมกับแต่ละองค์กร 2.กลุ่มคนทำงาน – ด้วยการเดินหน้ารีสกิลและอัพสกิลทั้งเรื่องของวิธีคิด (mindset) และทักษะที่จำเป็น (skillset) ผ่าน YourNextU รูปแบบสมัครสมาชิก และ 3.ขยายธุรกิจสู่กลุ่มเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา

“ที่ผ่านมาเราร่วมมือกับสถาบันการศึกษาหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.), คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมทั้งองค์กร Research University Network (RUN) เพื่อศึกษาและวิจัยแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยใช้ YourNextU เป็นตัวนำร่องเพื่อรีสกิล อัพสกิล เติมเต็มทักษะสำคัญ ๆ อย่าง essential skills ในการใช้ชีวิต และส่วนหนึ่งดำเนินการผ่าน GenEd (general education) เพื่อสร้างคุณภาพของเยาวชนไทยให้ปรับตัวต่อยุคปัจจุบันทันท่วงที ไม่ว่าเยาวชนไทยจะวางแผนดำเนินธุรกิจของตัวเอง ทั้งสตาร์ตอัพ, เอสเอ็มอี,การรับช่วงต่อจากธุรกิจครอบครัว หรือการเข้าทำงานในองค์กรต่าง ๆ”

“ทั้งนี้ มีจำนวนนักศึกษาเข้ามาเรียนกับเราบ้างแล้วหลักพันคน และกำลังอยู่ในขั้นระหว่างการศึกษา พัฒนาหลักสูตรเรียนรู้ ซึ่งต้องออกแบบให้ตอบโจทย์ทั้งนักศึกษาและองค์กร ว่าองค์กรแต่ละแห่งต้องการคนแบบไหนเข้ามาทำงานด้วย ขณะที่นักศึกษาต้องมีทักษะอย่างไรที่จะทำมาตอบโจทย์องค์กร ซึ่งคาดว่าเร็ว ๆ นี้จะมีการร่วมมือกับอีกหลากหลายสถาบันทั่วประเทศ”

ถึงตรงนี้ “นิภัทรา ตั้งพจน์ทวีผล” Executive Director SEAC กล่าวเสริมว่า SEAC มีการปรับเปลี่ยนแผนอยู่ตลอดเวลา แต่จากนี้ภาพหลักคือเราต้องอัพลิสต์เทคโนโลยีของเราให้เป็นเวอร์ชั่น 2.0 แม้ว่าต้องยกเครื่องใหม่ โดยเน้นให้มีความเข้มข้นขึ้นทั้งคอนเทนต์และรูปแบบเทคโนโลยี ยิ่งเฉพาะแพลตฟอร์มต้องทำให้ต่างจากที่มีมาแล้ว โดยจะเน้นศึกษาจากความต้องการลูกค้าและสายอาชีพต่าง ๆ ว่าควรต้องมีสกิลด้านไหนบ้าง

“ยกตัวอย่าง ผู้เรียนที่เป็นนักการตลาดอาจต้องมีสกิลที่มากกว่าการขาย และขายแบบใหม่ที่ไม่ให้เหมือนเดิม โดยทิศทางธุรกิจจะสำรวจแต่ละอาชีพ ว่าต้องมี essential skills แบบไหนบ้าง ที่สำคัญคือต้องหาแนวทาง ว่าทำอย่างไรให้สมาชิกอยากจะเรียนรู้กับเราต่อ และไม่เสียดายเงินที่เสียเข้ามา ทั้งยังต้องส่งเสริมให้ลูกค้าเรียนผสมผสานได้ ไม่จำกัดว่าต้องเรียนจบในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว อยากเรียนออนไลน์ตอนไหนก็ได้ รวมถึงการเน้นหลักสูตรแบบ just in time”

“โดยปกติกว่า 60% หลักสูตรของเราเป็นแบบ just in time อยู่แล้ว แต่ต้องปรับให้มีความสั้น กระชับ ตรงจุดมากขึ้น และจะมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาร่วมแลกเปลี่ยนเนื้อหา เพื่อให้เข้าถึงคนกลุ่มใหม่มากขึ้น ที่สำคัญจะต้องเปิดคลาสให้มากขึ้น เช่น จากเปิด 5 วันอาจจะเพิ่มเป็น 7 วัน เพื่อเจาะกลุ่มคนให้หลากหลาย และไม่เฉพาะคนทำงานที่อยู่ในองค์กรธุรกิจเท่านั้น แต่ต้องครอบคลุมให้ถึงกลุ่มนักศึกษาและข้าราชการมากขึ้น ซึ่งภายในปี 2564 คาดว่าจะเห็นภาพเหล่านี้ชัดเจนมากขึ้น”


ซึ่งนับเป็นหลักสูตรที่น่าสนใจทีเดียว