องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Thailand Business Council for Sustainable Development : TBCSD) แถลงสรุปผลงานปี 2563 และทิศทางการขับเคลื่อนในปี 2564 เพื่อให้องค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนตระหนักถึงความสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน
โดยภายในงานมีผู้บริหารจากองค์กรสมาชิก TBCSD กว่า 40 องค์กรครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทยมาร่วมให้ทรรศนะและแนวทางในการขับเคลื่อน
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
โดยมีปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “EU Green Deal” ซึ่ง “ปีย์กะ ตาปิโอละ” เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป ประจำประเทศไทย มาบอกเล่าเกี่ยวกับกลยุทธ์ใหม่ในการเติบโตของยุโรป พร้อมกับเปิดเผยให้เห็นถึงข้อมูลสำคัญของผลกระทบที่เกิดขึ้นจากมหันตภัยไวรัสร้ายว่า โควิด-19 ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจยิ่งกว่าครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะการล็อกดาวน์ครั้งใหญ่เพื่อควบคุมการระบาด ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก
“ถึงแม้โควิด-19 จะเป็นปัญหาที่ต้องการแก้ไขอย่างเร่งด่วน แต่ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นความสำคัญลำดับต้น ๆ คณะกรรมาธิการแห่งยุโรป จึงผลักดันนโยบาย European Green Deal เป็น roadmap เพื่อเปลี่ยนแปลงความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม และภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงเป็นโอกาสในการส่งเสริมนโยบายการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบยั่งยืนทั้งยุโรป”
“นโยบาย European Green Deal จึงเป็นกลยุทธ์ใหม่ของยุโรป โดยมุ่งขับเคลื่อนภูมิภาคยุโรปสู่สังคมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 รวมถึงมาตรการในการเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคการขนส่ง และที่อยู่อาศัย ด้วยการสร้างระบบอาหารที่มีความยั่งยืน และกำหนดให้ผลิตภัณฑ์มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น สามารถซ่อมแซมได้ง่ายเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ หรือนำไปรีไซเคิล”
“ดังนั้น ภาคธุรกิจจึงมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนโลก (game changer) ทั้งยังเป็นผู้นำในการทำตามมาตรฐานต่าง ๆ ภายใต้ European Green Deal เช่น ยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมใหม่ และแผนปฏิบัติการเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การผลิตแบตเตอรี่ที่มีมาตรฐานต่อสิ่งแวดล้อม ถ้าผู้ประกอบการรายใดไม่สามารถทำได้จะต้องเสียภาษีมากขึ้น ทั้งยังไม่เป็นที่ยอมรับในตลาด, กลยุทธ์ Farm to Fork และงานปลอดมลพิษ (Pollution-free Europe Work) ที่จะต้องบรรลุเป้าหมายระยะกลางในปี 2030”
ต่อจากนั้นเป็นการแถลงสรุปผลงาน และทิศทางการขับเคลื่อน TBCSD โดยคณะกรรมการบริหารองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน นำโดย “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” ประธานองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กล่าวว่า นับตั้งแต่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 องค์กรสมาชิก TBCSD หลายองค์กรมีส่วนร่วมต่อการแก้ไขปัญหา ผ่านการดำเนินงานในรูปแบบต่าง ๆ ตามบริบทของแต่ละองค์กร รวมเป็นยอดเงินมากกว่า 1,600 ล้านบาท
“ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา TBCSD ขยายกรอบการทำงาน (TBCSD New Chapter Framework) เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาระดับประเทศ (country issue) ตามกรอบการดำเนินงาน 3 รูปแบบ คือ fundamental, collective และ area-based project/program โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างเรื่อง PM 2.5 (ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน) และประเด็นที่เราจะขับเคลื่อนเป็นโครงการระยะยาว คือ เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขยะพลาสติก ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น”
“รวมถึงการเผยแพร่ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และเพิ่มขีดความสามารถของสมาชิก เพื่อให้มีความเข้าใจที่ดี และดำเนินงานในประเด็นที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังมีกิจกรรมส่งเสริมเยาวชนไทย เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (youth in charge) ที่สำคัญ จะต้องผลักดันให้เกิดนโยบายที่เป็นธรรมกับทุกภาคส่วนจนนำมาสู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม”
สำหรับภาคสุดท้ายมีเสวนาเรื่อง “กลยุทธ์ Growth Strategy ธุรกิจแบบยั่งยืนในยุค New Normal” ที่มีตัวแทนสมาชิกองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมแชร์แนวทาง โดยหนึ่งในนั้นคือ “สุพันธุ์ มงคลสุธี” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัญหามลพิษและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ทำให้เผชิญกับความเสี่ยงด้านอุปทานจากการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต
“ฉะนั้น เราต้องหันมาให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ปรับเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาโดยเน้นเรื่องของการพัฒนาที่ยั่งยืน และการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมสู่การเป็น Thailand 4.0/Industry 4.0 โดย ส.อ.ท.ร่วมมือกับองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อพัฒนาโมเดลการพัฒนาที่ยั่งยืนของภาคอุตสาหกรรมให้ขยายตัวมากขึ้น เช่น ร่วมมือเรื่องการรีไซเคิลพลาสติกกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี”
“นอกจากนั้น เรายังดูแลผู้ประกอบการในช่วงโควิด-19 ด้วยการช่วยเหลือในหัวข้อที่พวกเขากำลังเจอความท้าทาย โดยหลัก ๆ จะเป็นเรื่องการทำการตลาดการเงิน การให้ความรู้ผ่านการเทรนนิ่ง และส่งเสริมนวัตกรรม โดย ส.อ.ท.มีบทบาทเป็นผู้แนะนำส่งเสริม และสนับสนุนให้สมาชิกมีการผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตสู่การเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (ecofactory) จนนำไปสู่การพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยตอนนี้มีโรงงานทั้งหมด 247 แห่งที่ผ่านการรับรอง”
“รวมทั้งส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมมีการบริหารจัดการน้ำ สิ่งแวดล้อม ซากผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ ภายใต้หลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) และการนำระบบ IOT มาประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาสู่การเป็น smart industry ที่สามารถปรับตัวให้ตอบรับกับยุค new normal จนสามารถดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน”
ขณะที่ “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้สถานการณ์ราคาน้ำมันผันผวน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างยิ่งของกลุ่ม ปตท. เราจึงสร้างธุรกิจใหม่แทนที่การเติบโตในรูปแบบเดิม แต่ยังคงรักษาความเข้มแข็งของธุรกิจหลัก ด้วยการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ผสานด้วยการเปิดกว้างทางความคิด รับบริบทจากภายนอก (inside-out & outside-in) เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค และความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ด้วยการวางพื้นฐานหลักในการทำด้วยกลยุทธ์ PTT ร่วมกับแนวคิด PTT หรือที่เรียกว่า “PTT by PTT” ประกอบด้วย
หนึ่ง Partnership and Platform การดำเนินธุรกิจด้วยการสร้างพันธมิตร และพัฒนาธุรกิจของ ปตท. ให้มีลักษณะเป็นแพลตฟอร์ม มากกว่าเป็นแค่ผู้ผลิตสินค้า และจำหน่าย
สอง Technology for All เทคโนโลยีที่เกิดจากการผสมผสานด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญ นวัตกรรม และดิจิทัล
สาม Transparency and Sustainability สร้างความโปร่งใส และความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจ เน้นให้พนักงานมีความเข้าใจเรื่องการดำเนินงานที่สอดคล้องกับการกำกับดูแลกิจการที่ดี และการประเมินความเสี่ยง พร้อมกับพัฒนาการดำเนินธุรกิจให้เกิดความยั่งยืนทั้งมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมด้วย
“ขณะเดียวกัน ต้องเตรียมออกแบบธุรกิจเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดเป็น next normal ทั้งธุรกิจเดิม และ New S-curve เช่น ลงทุนพัฒนาธุรกิจรูปแบบใหม่ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียน โดยธุรกิจใหม่ที่ทาง ปตท.เตรียมขยาย คือ ธุรกิจยา, อาหารเสริมและการต่อยอดธุรกิจวัตถุดิบตั้งต้นจากทรัพยากรธรรมชาติ (commodity) ไปสู่วัสดุล้ำสมัย หรือวัสดุที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง (advanced material), เพื่อต่อยอดจากธุรกิจน้ำมันไปสู่ธุรกิจที่รองรับไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่ง จนมีความคล่องตัวในไลฟ์สไตล์รวมถึงเรื่องของโลจิสติกส์ด้วย”
นับเป็นความร่วมมือของภาคธุรกิจไทย สำหรับการเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อก้าวไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง