ถึงวันนี้คงต้องยอมรับกันว่า วิทยาลัยดุสิตธานี เดินทางมาจนจะถึงปีที่ 28 ในเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งนับว่าเป็นเส้นทางที่ยาวนานนับจากก่อตั้งโรงเรียนการโรงแรมในปี 2536 กระทั่งเปลี่ยนมาเป็นวิทยาลัยดุสิตธานี ในปี 2539
ซึ่งมีหลักสูตรเปิดสอนในระดับปริญญาตรี ภาษาไทย และนานาชาติ, หลักสูตรปริญญาโท รวมไปถึงหลักสูตรระยะสั้น สำหรับบุคคลทั่วไปอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดการโรงแรม, การบริการ, ศิลปะการประกอบอาหาร, สปา รวมไปถึงการท่องเที่ยว
- บัตรเครดิตซิตี้ ย้ายไป UOB บัตรประเภทไหน เปลี่ยนแปลงอย่างไร
- คำแนะนำจาก ซีอีโอ “ฮั่วเซ่งเฮง” ยุคทอง (โคตร) แพง ต้องลงทุนอย่างไร ?
- มอเตอร์โชว์ 2024 เริ่มแล้ว
โดยมุ่งเน้นทางด้านการจัดการการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ ทั้งในส่วนของภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ ซึ่งปัจจุบัน วิทยาลัยดุสิตธานี มีนักศึกษาอยู่ประมาณ 2,800 คน และมีบุคลากรทางการศึกษาทั้งระบบอยู่ประมาณ 300 คน ที่ครอบคลุมพื้นที่การศึกษาทั้ง 2 แห่ง คือ วิทยาลัยดุสิตธานี กรุงเทพฯ และศูนย์การศึกษาเมืองพัทยา จ.ชลบุรี
แม้ผ่านมา วิทยาลัยดุสิตธานีจะผจญกับมหันตภัยไวรัสร้ายโควิด-19 จนทำให้ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวต้องหยุดชะงัก หลายโรงแรมประสบปัญหา และบุคลากรทางภาคบริการการท่องเที่ยว และโรงแรม ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อต้องอยู่ให้รอดในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ในส่วนของภาคการผลิตบุคลากรที่ต้องป้อนให้กับภาคธุรกิจดังกล่าว แทบไม่มีผลกระทบเท่าใดเลย
เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่ถูกสอนให้ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง จนสามารถผ่านวิกฤตครั้งนั้นมาได้ รวมถึงครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะจากงานเปิดตัววิทยาลัยเมื่อไม่นานผ่านมา ภายใต้แนวคิด “Dusit Thani College…Moving Forward” จึงทำให้มองเห็นวิสัยทัศน์ของผู้บริหารอย่างมีนัยสำคัญ
“ศิรเดช โทณวณิก” กรรมการผู้จัดการ ASAI Hotels รองประธานฝ่ายพัฒาธุรกิจ และโครงการดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล และรักษาการกรรมการผู้จัดการฝ่ายธุรกิจการศึกษา บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ต้องบอกว่าไม่มีโรงแรมไหนในเอเชียที่ลงทุน และให้ความสำคัญต่อการศึกษามากเท่าเรา ทั้งยังมีวิชั่นที่แข็งแรงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“ด้วยเหตุนี้ เราจึงดึงจุดแข็งที่อยู่ภายใต้แบรนด์ของเรากว่า 300 พร็อพเพอร์ตี้ที่เราบริหารอยู่ทั่วโลกมาทำการศึกษาทั้งในเรื่องทฤษฎี และปฏิบัติ พร้อม ๆ กับลงทุนในเรื่องวิจัย เพื่อนำมาพัฒนาโรงแรมในเครือ ที่สำคัญ เรามีพาร์ตเนอร์กับโรงเรียนชั้นนำของโลกหลายแห่ง ดังนั้น นักศึกษาของเราหลังจากจบมาจึงไม่ได้ทำงานโรงแรมในเครือเพียงอย่างเดียว หากยังทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องในไลน์การบริการอื่น ๆ ด้วย พูดง่าย ๆ คือเราจะเน้นไปที่ภาคอุตสาหกรรมบริการมากกว่า”
“ตอนนี้เรามีนักศึกษาอยู่ประมาณ 2,800 คน และบุคลากรทางการศึกษาทั้งระบบอีกประมาณ 300 คน ดังนั้น หลังจากที่พวกเขาจบมาประมาณ 97% กว่า ๆ จะมีงานทำทันที ถือว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก ๆ ส่วนอีก 2-3% ที่เหลือ พวกเขาจะนำความรู้เหล่านี้ไปบริหารธุรกิจของครอบครัว หรือไปสร้างธุรกิจของตัวเอง และตลอดเวลา 3 ปีผ่านมา เราลงทุนในการสร้างและพัฒนาวิทยาลัยประมาณ 300 กว่าล้านบาท ถือว่าเยอะพอสมควร”
“ฉะนั้น กลยุทธ์การเติบโตของเราจึงมองมาที่คอนเทนต์เป็นสำคัญ เพราะเรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยิ่งเมื่อเจอไวรัสโควิด-19 เราก็มีแผนในการเปลี่ยนแปลงตลอด เราจะไม่หยุดอยู่กับที่ ที่สำคัญ เราต้องสอนให้นักศึกษายืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง นอกจากนั้น เราคงต้องออกไปหาโปรดักต์ใหม่ ๆ อาจต้องลงทุนด้วยการสร้างแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เพื่อให้นักศึกษาสะดวกในการเรียนรู้มากขึ้น และง่ายขึ้นด้วย”
ขณะที่ “ฟราวเกอะ เกอร์เบนส์” อธิการบดีวิทยาลัยดุสิตธานี กล่าวเสริมว่า ภารกิจของเราต่อจากนี้ไปจะทำ 3 เรื่องหลัก ๆ ตามกลยุทธ์ 3 H คือ
หนึ่ง hand การลงมือปฏิบัติ
สอง head การวิเคราะห์ และการแก้ปัญหา
สาม heart การบริการด้วยหัวใจ
“เรามุ่งมั่นผลิตบุคลากรที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสู่อุตสาหกรรมการบริการ และการท่องเที่ยว ด้วยการให้นักศึกษาเรียนรู้ภาคปฏิบัติจากคณาจารย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้นักศึกษาสามารถลงมือทำได้จริงด้วยการสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าเป้าหมาย”
“เพราะฉะนั้น กลยุทธ์ 3 H จึงถูกนำมาสอดแทรกในเชิงปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม จนทำให้การันตีได้ว่านักศึกษาของเราหลังจากจบออกไปมักมีงานทำทุกคน แต่ถึงกระนั้นภายในสถานการณ์ดังกล่าวก็ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยี และรูปแบบการศึกษาที่เปลี่ยนไป”
“เพราะความต้องการของผู้เรียนในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงไปด้วย เราจึงพยายามตั้งเป้าหมายให้นักศึกษามีความก้าวหน้าในอาชีพ มีศักยภาพ และมีชื่อเสียงทางด้านฮอสพิทาลิตี้ในภูมิภาคนี้มากที่สุด ที่สำคัญ เราตั้งเป้าหมายสู่ความยั่งยืนทางด้านทรัพยากรทางด้านการศึกษา และภาคธุรกิจ เพื่อที่จะนำเราก้าวไปสู่สากล”
สำหรับ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า จริง ๆ เรามองเรื่องของวิกฤตไวรัสโควิด-19 เป็นโอกาสด้วยซ้ำ และผลจากรีเสิร์ชปรากฏว่ามี 3 ปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้ธุรกิจบริการปรับตัวไปกับวิถีชีวิตใหม่ 3 เรื่อง คือ
หนึ่ง ธุรกิจโรงแรม การอยู่รอดในธุรกิจโรงแรมเราจะทำตัวเหมือนเดิมอีกไม่ได้แล้ว เราต้องมีดาต้า มีโปรไฟล์ลูกค้าว่าต้องการอะไรแบบไหน และเราจะมอบประสบการณ์ตรงให้ลูกค้าได้อย่างไร สำหรับในส่วนนี้เทคโนโลยีเอไอจะเข้ามาช่วยเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ได้ โดยเฉพาะเรื่องพฤติกรรมของลูกค้า, เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐาน
สอง อาหาร ธุรกิจอาหารในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านก็ได้ ถ้าขับเคลื่อนด้วยโซเชียลมีเดีย แม้แต่ในครัวก็ต้องมีคลาวด์คิตเช่น ฉะนั้น ต่อไปการปรุงอาหารทุกอย่าง เราจะดูข้อมูลว่าใช้สูตรอาหารอะไรบ้าง เราก็ใส่ลงไปได้เลยอาหารจะได้คุณภาพมาตรฐาน ทั้งยังสดใหม่ด้วย แต่กระนั้น จะต้องมีเรื่องเศรษฐกิจแบ่งปัน, สุขภาพ และเทคโนโลยี
สาม การศึกษา เนื่องจากผู้เรียนในปัจจุบันจะไม่ทนเรียน 4 ปีอีกต่อไปแล้ว และจะไม่เรียนต่อในระดับปริญญาโท-เอก แต่เขาจะเรียนอะไรที่ตัวเองต้องการรู้และชอบจริง ๆ ดังนั้น รูปแบบการเรียนการสอนต้องมีความหลากหลายมากขึ้น และจะต้องตอบโจทย์ผู้เรียนจริง ๆ แม้แต่การเก็บเครดิตจากประสบการณ์ของพวกเขา เพื่อดีไซน์หลักสูตรให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า
ซึ่งล้วนเป็นบริบทการศึกษาในวิถีชีวิตใหม่นับจากนี้เป็นต้นไป