เมื่อออฟฟิศไม่ใช่สิ่งจำเป็นในโลกหลังเกิดวิกฤตโควิด บริษัทในไทยและต่างประเทศ เตรียมหาแนวทางจัดการพื้นที่สำนักงานใหม่ ลดขนาด – ย้าย – กระจายออฟฟิศ
การแพร่ระบาดของโควิด-19 กำลังเปลี่ยนแปลงประโยชน์ของออฟฟิศ และบังคับให้บริษัทจำนวนมากออกจาก comfort zone พร้อมกับเร่งเครื่องผลักดันตนเอง ลงทุนในเทคโนโลยี เพื่อที่จะสามารถประกอบธุรกิจใน virtual office จากที่บ้าน (work from home) หรือที่ไหนก็ได้ (work from anywhere)
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
- สงกรานต์ 2567 ทางด่วนฟรี มอเตอร์เวย์ฟรี สายไหนบ้าง ฟรีถึงวันไหน
นับตั้งแต่สตาร์ทอัพ ไปจนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งธุรกิจเก่าแก่ทั่วโลก ต่างกำลังคิดทบทวนบทบาทของพื้นที่สำนักงาน ว่ายังจำเป็นมากน้อยแค่ไหน และจะปรับให้เหมาะสมอย่างไร เมื่อโลกใบเก่า ออฟฟิศเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาบริษัท ที่ใช้สำหรับต้อนรับลูกค้า พนักงาน และนักลงทุน แต่ในโลกใบใหม่ ออฟฟิศกลายเป็นต้นทุน ที่บริษัทจำเป็นต้องลด
“ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมกระแสเกี่ยวกับการปรับพื้นที่สำนักงานหลังเกิดโควิด-19 ทั้งในไทยและต่างประเทศ ดังนี้
LINE ประเทศไทย มีไอเดียกระจายออฟฟิศ
LINE ประเทศไทย ได้รับการจัดให้เป็นอันดับ 2 ของบริษัทที่คนไทยอยากทำงานด้วยมากที่สุดในปี 2020 โดยการจัดอันดับของ Workventure เว็บไซต์ค้นหางานที่มีผู้ใช้งานจากทั่วประเทศกว่า 5,000,000 คน ซึ่งทางเว็บไซต์ใช้วิธีถามคําถามผู้เข้าใช้งานทุกคนว่า “บริษัทในฝันของคุณคือบริษัทอะไร” จนได้ 50 บริษัทที่คนรุ่นใหม่สนใจร่วมงานด้วยมากที่สุด
สิ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่สนใจทำงานกับไลน์ ประเทศไทยคือ การมีนโยบายการดูแลพนักงานที่ดี ทันสมัย และสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาคือ สภาพแวดล้อมในการทำงาน ในสำนักงานของไลน์ ประเทศไทย มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้พนักงานจำนวนมาก ทั้งเพื่อความสนุกและคำนึงถึงการผ่อนคลายจากการทำงาน เช่น โซนบอร์ดเกม โซนฟิตเนส บริการนวด และที่สำหรับนอนพัก
แต่พอเกิดการระบาดโควิด-19 ทำให้บริษัทจัดแผนให้พนักงานทำงานจากบ้านแบบ 100% พื้นที่สำนักงานจึงไม่ได้ถูกใช้งาน
“ดร.พิเชษฐ ฤกษ์ปรีชา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE ประเทศไทย บอกกับประชาชาติธุรกิจว่า ช่วงเริ่มต้นของการระบาดโควิด-19 ในปี 2020 พนักงานของ LINE สามารถเลือกทำงานจากที่บ้านได้ทันที เพราะบริษัทมีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่สามารถสนับสนุนให้การทำงานยืดหยุ่นได้ทุกที่ทุกเวลา
สถานการณ์การระบาดกลับมารุนแรงอีกครั้งในปีนี้ ทำให้บริษัทต้องวางแผน Rethink Workplace Strategy (ยุทธศาสตร์การใช้พื้นที่) ใหม่ ซึ่งกำลังศึกษาความต้องการของพนักงาน ด้วยการทำ survey เหมือนที่ทำในปีที่แล้ว โดยสอบถามพนักงานถึงรูปแบบการทำงานที่ต้องการ
“ผมมองว่า เราต้องคิดใหม่และกล้าทำใหม่ แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องตอบโจทย์ความสะดวกของพนักงาน”
นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมาบริษัทเก็บตัวเลขการใช้พื้นที่สำนักงาน ว่ามีพนักงานเข้าออกเพื่อมาใช้พื้นที่สำนักงานจำนวนเท่าไหร่ เพื่อหาคำตอบว่า จำเป็นต้องมีโต๊ะ เก้าอี้ และห้องประชุมจำนวนเท่าไหร่
“ผมมองว่าการมีโต๊ะทำงานเพื่อรองรับคน 300 คนไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะพนักงานของเรามีความอิสระในการเลือกพื้นที่ทำงานอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนมีการระบาดของโควิด-19 ซึ่งผมมองอนาคตของพื้นที่ทำงานยุคใหม่ว่า สำนักงานใหญ่อาจไม่ต้องการพื้นที่ใหญ่เท่าเดิมหรืออยู่ใจกลางเมือง แต่ปรับให้มีออฟฟิศคุณภาพขนาดเล็กมากกว่า 1 ที่ และกระจายไปรอบ ๆ กรุงเทพฯ ช่วยลดเวลาเดินทางของพนักงาน และตอบโจทย์การทำงานจากที่ไหนก็ได้ ทั้งนี้ ต้องมีตารางการนัดพบกันเป็นประจำ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของพนักงาน”
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังไม่สามารถทำได้เร็ว ๆ นี้ เพราะติดเรื่องสัญญาการเช่าที่ และที่สำคัญยังต้องถามความคิดเห็นกับหลาย ๆ ฝ่ายในองค์กร
เทคคอมพะนีย้ายออกจากซิลิคอน วัลเลย์
ตามข้อมูลของสำนักข่าวดิ อินฟอร์เมชั่น Alphabet บริษัทแม่ของ Google ได้ถอนข้อตกลงการซื้อพื้นที่สำนักงานกว่า 2 ล้านตารางฟุตย่าน Bay Area เมืองซานฟรานซิสโก ที่จะใช้สร้าง Mountain View Campus เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งนับเป็นข้อตกลงด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท
“ศุนทัร ปิจไช” ซีอีโอ Google กล่าวว่า บริษัทจะกระชับสายพานในการดำเนินงาน ที่รวมถึงการจ้างงาน การตลาด และการเดินทาง
“ตอนนี้เป็นเวลาที่จะต้องชะลอการจ้างงานลงอย่างมาก ในขณะเดียวกันต้องรักษาโมเมนตัมในส่วนกลยุทธ์ที่สำคัญไว้ คือที่ที่มีผลกระทบโดยตรงกับการให้ความช่วยเหลือผู้ใช้กูเกิ้ล ทั้งนี้การถอนข้อตกลงซื้อพื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่ในเบย์ แอเรีย ยังทำให้ Google มีขนาดที่เหมาะสม”
ด้าน Facebook นับตั้งแต่โควิด-19 ระบาด พนักงานกว่า 95% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด 45,000 คน ทำงานแบบ remote work โดย “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเฟสบุ๊ค ประกาศเมื่อปลายเดือน พ.ค. 2020 ว่า พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ถาวร ทั้งนี้เงินเดือนของพนักงานจะปรับตามค่าครองชีพที่ลดลง
ตัวแทนของเฟสบุ๊คบอกกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ได้พิจารณาทางเลือกในการทำงานแบบ remote work มานานแล้ว แต่โควิด-19 ทำให้เรื่องนี้เกิดเร็วขึ้น และตอนนี้บริษัทกำลังตั้งเป้าว่า 10 ปีจากนี้ไปจะมีพนักงานของเฟสบุ๊คทำงานแบบ remote work ไม่ต่ำกว่า 50%
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2020 Facebook ประกาศแผนเร่งจ้างคนด้านวิศวกรรมและผลิตภัณฑ์ทั่วโลก 10,000 ตำแหน่ง โดยการทำงานของคนกลุ่มนี้จะเป็นแบบ remote work ถาวร ซึ่งคนที่ได้มาจะเป็นคนจากหลากหลายพื้นที่ ดังนั้นบริษัทจึงมีไอเดียสร้างฮับเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วอเมริกาเหนือ
โดยฮับเหล่านี้จะไม่ใช่สำนักงาน แต่เป็นพื้นที่ที่ให้พนักงานในบริเวณนั้นมารวมตัวกัน เพื่อเข้าร่วมการประชุมที่สำคัญ หรือการฝึกอบรมเท่านั้น โดยเฟสบุ๊คหวังว่า การมีฮับกระจายไปแบบนี้ จะช่วยเปิดโอกาสให้กับผู้มีความสามารถที่อาศัยอยู่ทั่วทุกพื้นที่ และช่วยดึงดูดพวกเขาให้มามีบทบาทกับบริษัท
ในขณะที่ Twitter มีนโยบายให้พนักงานทำงานจากที่ใดก็ได้ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 โดย “เจนนิเฟอร์ คริสตี้” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ Twitter กล่าวว่า บริษัทมีโครงการ Flexible Work ที่ให้พนักงานทำงานจากที่ใดก็ได้ เพราะการสร้างทีมให้กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ เป็นการส่งเสริมความความก้าวหน้าระดับโลก
“แต่ก่อนหน้านี้มีเพียงพนักงานบางคนเท่านั้นที่ร่วมโครงการ พอเกิดโควิด-19 มีพนักงานจำนวนมากขอทำงานจากที่บ้านอย่างถาวร”
‘เทคคอมพานี’ ระดับโลก ทยอยย้ายออกจาก ‘ซิลิคอน วัลเลย์’
ทำธุรกิจได้มีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องมีออฟฟิศ
เมื่อช่วงเดือน พ.ย. 2020 สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า มากกว่า 1 ใน 4 ของบริษัทในสก็อตแลนด์ กำลังลดพื้นที่สำนักงานอย่างถาวร เพื่อตอบสนองการทำงานจากที่บ้านที่มีเพิ่มขึ้น โดยตัวเลขดังกล่าวมาจากการทำสำรวจบริษัท 500 องค์กร ของ Scottish Business Monitor
โดยข้อมูลระบุเพิ่มเติมว่า 70% ของบริษัทในอุตสหกรรมท่องเที่ยวและบริการจะลดจำนวนพนักงานลง และ 20% ของบริษัทในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ก็จะลดจำนวนพนักงานเช่นกัน
ในขณะที่ Nationwide บริษัทประกันและให้บริการทางการเงินในสหรัฐอเมริกา ประกาศแผนการปิดสำนักงาน 5 แห่ง เพราะได้เปลี่ยนรูปแบบการทำงานไปทำงานจากที่บ้านอย่างถาวร
“เคิร์ท วอคเกอร์” ซีอีโอ Nationwide กล่าวในแถลงการณ์ของบริษัทว่า ได้ลงทุนในเรื่องเทคโนโลยีมาหลายปี และการลงทุนเหล่านั้นได้ตอบแทนยามที่บริษัทมีความจำเป็นต้องปรับรูปแบบการทำงานเป็นทำงานจากบ้าน 98% ได้ทันที
ด้าน “เจมส์ กอร์แมน” ซีอีโอ Morgan Stanley กล่าวกับสำนักข่าวสํานักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า บริษัทได้พิสูจน์แล้วว่า สามารถประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องมีออฟฟิศ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในการใช้พื้นที่สำนักงานของบริษัทต่าง ๆ จะส่งผลต่ออธุรกิจสังหารททรัพย์ในอนาคต
องค์กรไทยกลัวการทำงานแยกกัน
“ปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา” ผู้จัดการ บริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากที่สังเกตไอเดียของบริษัทในไทย เกี่ยวกับ remote work ถาวร หรือการทำงานแยกกัน หลาย ๆ บริษัทยังมีความกังวลเรื่องผลกระทบด้าน engagement
“บริษัทไทยเกรงว่าความผูกพันของพนักงานในองค์กรจะลดลง และเห็นว่าหลาย ๆ บริษัทกำลังค้นหาโซลูชั่นสถานที่ทำงานที่ตอบโจทย์โลกยุคหลังการเกิดการระบาดของโควิด-19”