“ช้างตัวโต” กับ “โซ่เส้นเล็ก”

คอลัมน์ ถามมา-ตอบไป สไตล์คอนซัลต์
อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา

ช่วงที่ผ่านมาผมอ่านหนังสือหลายเล่ม เพื่อจะเลือกสักเล่มไปเล่าใน Slingshot’s Book Talks ทาง Facebook ซึ่งเป็นกลุ่มปิดเล็ก ๆ ที่มีสมาชิกประมาณสัก 400 คน ผมไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งน่าสนใจดี ชื่อ “The Elephent’s Dilemma” เขียนโดย “Jon Bostock” อดีตผู้บริหารของบริษัท GE ผู้ซึ่งผันตัวเองมาทำธุรกิจที่ชอบจนประสบความสำเร็จ

หนังสือเล่มนี้เริ่มต้นด้วยการเล่าให้ฟังว่าลูกช้างที่ถูกนำมาเลี้ยง เจ้าของจะใช้โซ่เส้นเล็ก ๆ ผูกขาของมันไว้กับหมุดที่ปักอยู่บนพื้น ใหม่ ๆ ลูกช้างไม่คุ้นชิน จึงทั้งดิ้น ทั้งดึง เพราะอายุยังน้อย กำลังวังชาไม่มากนัก โซ่ และหมุดเล็ก ๆ ที่พันธนาการเอาไว้ ก็พอจะกำราบมันได้ ยิ่งแข็งขืนดึงดันมากเท่าไร โซ่ที่มัดไว้ก็บาดขาทำให้เกิดความเจ็บปวด

จนในที่สุด เจ้าช้างน้อยต้องยอมศิโรราบให้กับโซ่ตรวนนั้น ?

แต่เมื่อมันเติบใหญ่ แข็งแรงกว่าเดิมขาของมันยังคงถูกล่ามด้วยโซ่เล็ก ๆ ที่ผูกติดกับหมุดอันเดิม ซึ่งอันที่จริง ด้วยกำลังวังชาขนาดนี้ แค่กระตุกนิดเดียวโซ่ก็ขาดได้ในพริบตา แต่ช้างเชื่อว่ามันไปไหนไม่ได้เพราะถูกล่ามไว้ จึงไม่เคยแม้แต่คิดที่จะดึง

คนก็เหมือนกัน ยิ่งทำงานไปนาน ๆ ยิ่งเหมือนถูกพันธนาการให้ติดอยู่กับความมั่นคงปลอดภัยในฐานะมนุษย์เงินเดือน ไม่กล้าแม้แต่คิดว่าจะลาออก ย้ายงาน หรือไปตามล่าหาความฝันที่เคยวาดไว้ ??

ผู้เขียนเล่าต่อว่าเขาก็เคยถูกล่ามไว้กับองค์กรยักษ์ใหญ่ที่จ่ายเงินเดือนดี และมีความมั่นคงสูง จนไม่กล้าออกนอกพื้นที่สบาย จนวันหนึ่งตัดสินใจดึงขาให้หลุดจากตรวนที่ผูกมัดไว้หลายปี มาเริ่มต้นงานเล็ก ๆ ที่พอมีรายได้นิดหน่อยแต่มีความสุขมหาศาล

เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี เพราะความสุขที่มี จึงทำให้งานประสบความสำเร็จ ปัจจุบันมีรายได้เพียงพอเลี้ยงครอบครัว และมีเวลาหาความสุขให้กับชีวิตด้วย เขาจึงเขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อเชิญชวนให้คนกล้าที่จะเดินออกจาก comfort zone ที่ตัวเองกำหนดไว้ ด้วยการทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.ปรับวิธีคิด (mindset) โดยเริ่มต้นทำความเข้าใจว่าสิ่งที่กลัว หรือกังวลเป็นความรู้สึกที่เราสร้างขึ้นมาเอง ซึ่งอาจตรงกันข้ามกับความจริงที่เป็นอยู่เฉกเช่นช้างที่เชื่อว่าโซ่ที่ล่ามมันไว้ แข็งแรงเกินกว่าจะดึงให้ขาดได้

2.วาดความฝันให้ชัดเจน คิดถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ ความฝันจะเป็นแรงบันดาลใจให้ก้าวเดินต่อไป ทุกคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า…จงพุ่งเป้าหมายที่จะไปให้ถึงดวงจันทร์ หากแม้ไม่ถึง อย่างน้อยก็ยังได้อยู่ท่ามกลางดวงดาว

3.แวดล้อมตัวเองด้วยคนที่คิดแตกต่าง และมองคนละแบบกับเรา เพื่อจะได้มีมุมมองที่กว้างขึ้น หาโอกาสพูดคุยกับเด็กรุ่นใหม่บ้าง พวกเขาคิดไม่เหมือนเรา อาจทำให้ได้แรงบันดาลใจ ถ้าเปิดใจรับฟัง

4.ทดลองดึงโซ่ให้แรงขึ้น หมายถึง ลองผลักตัวเองให้เผชิญกับความกลัวที่มีอยู่ ผลักแรงกว่าเดิมอีกนิด เพิ่มความกล้าให้ตัวเองอีกหน่อย เหมือนคนกลัวผี อันที่จริงพวกเขากลัวความมืด ถ้ารวบรวมความกล้ายื่นมือไปเปิดไฟ ผีที่เคยกลัวก็หายไป

5.ลองลงมือทำสิ่งใหม่ ๆ ที่จะสร้างสรรค์อะไรบางอย่างไว้ให้กับโลก (Make Your Mark on the World) ถามตัวเองว่าครั้งสุดท้ายที่เคยทำอะไรเป็นครั้งแรกคือเมื่อไร (When was the last time you do thing the first time ?) ถ้าเกิน 6 เดือนขึ้นไป ก็ถึงเวลาที่จะออกไปทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำได้แล้ว

6.เรียนรู้ที่จะสร้างความรู้สึกเร่งด่วน (A sense of urgency) จงลงมือทำทันที ทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่ายังไม่พร้อม อย่ามัวรอเวลาหรือรอโอกาส ฤกษ์ดีคือเดี๋ยวนี้ ทำเลย

“จงออกจากเปลือก (bubble) ที่ห่อหุ้มอยู่ เพื่อมาสู่โลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่าที่เห็น และเข้าใจว่าเป็น”

ผู้เขียนทิ้งท้ายคำพูดไว้อย่างน่าสนใจ ?