อาชีพสุดรุ่ง-สุดร่วง ในยุคสังคมสูงวัย

ผู้สูงอายุ
คอลัมน์ CSR Talk
คณาจารย์ศศินทร์ 
แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จากการคาดประมาณขององค์การสหประชาชาติ (United Nations) ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยในระดับสุดยอด (super-aged society) ในปี พ.ศ. 2573 ซึ่งหมายถึงว่าประชากรประมาณ 1 ใน 3 จะมีอายุมากกว่า 60 ปี การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ของประเทศแล้วยังจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่

โดยเฉพาะในด้าน “ตลาดแรงงาน” ของประเทศอีกด้วยในบทความนี้ คณะผู้เขียนมีความตั้งใจที่จะนำเสนอประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งที่หลายท่านอาจไม่ทราบมาก่อนว่า บางอาชีพอาจจะ “รุ่ง” ในขณะที่บางอาชีพอาจจะ “ร่วง” ในยุคสังคมสูงวัย

สาเหตุสำคัญเกิดจากการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของทักษะในการทำงานที่แตกต่างกันในอาชีพต่าง ๆ เมื่อแรงงานมีอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ยุคสังคมสูงวัย โดยบางอาชีพ แรงงานจะมีทักษะและมีผลิตภาพ (productivity) ที่เพิ่มขึ้นจากการมีอายุเฉลี่ยที่สูงขึ้น (“ยิ่งสูงวัย ยิ่งเก๋า”)

ในขณะที่บางอาชีพจะเป็นตรงกันข้ามคือมีทักษะและมีผลิตภาพ (productivity) ที่ลดลงจากการมีอายุเฉลี่ยที่สูงขึ้น (“ยิ่งสูงวัย ยิ่งเฉา”) ในบทความนี้คณะผู้เขียนจะนำผลงานวิจัย ที่คณะผู้เขียนได้ศึกษาถึงผลกระทบของการเข้าสู่สังคมสูงวัยต่อผลิตภาพในอาชีพต่าง ๆ ในประเทศไทย

โดยคณะผู้เขียนได้นำกระบวนการวิจัยของ Cai และ Stoyanov (2016) มาประยุกต์ใช้กับข้อมูลการสํารวจภาวะการทํางานของประชากรในอาชีพต่าง ๆ ในประเทศไทย พ.ศ. 2562 ของสํานักงานสถิติแห่งชาติ

สำหรับกลุ่มอาชีพที่ยิ่งสูงวัย ยิ่งเก๋า กลุ่มอาชีพเหล่านี้จะเป็นกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของทักษะทางปัญญา (cognitive skills) บางประเภท โดยทักษะทางปัญญาที่จะเพิ่มขึ้นตามอายุ ได้แก่ ทักษะในด้านการสื่อสารด้วยการพูดและการฟังและทักษะในด้านการสื่อสารด้วยการเขียนและการอ่าน

ยกตัวอย่าง เช่น อาชีพนักบริหาร ครูอาจารย์ นักการตลาด นักกฎหมาย และนักบริการ โดยกลุ่มอาชีพเหล่านี้ถูกจัดลำดับว่าจะได้รับประโยชน์จากการเข้าสู่สังคมสูงวัยในด้านการมีผลิตภาพ (productivity) ที่เพิ่มขึ้นจากการมีอายุเฉลี่ยที่สูงขึ้น

ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า อาชีพเหล่านี้ต้องอาศัยทักษะในด้านการสื่อสารเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำงานให้สำเร็จ ยกตัวอย่าง เช่น อาชีพครูอาจารย์ เป็นอาชีพที่ต้องสั่งสมประสบการณ์ในการรู้จักพูด โดยต้องพูดให้ผู้เรียนไม่ใช่เพียงแต่จดจำบทเรียนได้แต่จะต้องรู้จักพูด ให้บทเรียนนั้น “เข้าไปในใจ” ของผู้เรียนได้อย่างถ่องแท้ หรือแม้แต่นักการตลาด หรือนักบริการ ที่จะต้องเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ในการรู้จักฟัง

โดยการฟังนั้น ไม่ใช่เพียงฟังเพื่อได้ยินคำกล่าวของลูกค้า หรือผู้รับบริการต่าง ๆ แต่จะต้องเป็นการฟังที่เสมือนว่าผู้ฟังนั้นได้เข้าไปนั่ง “อยู่ในใจ” ของลูกค้าหรือผู้รับบริการต่าง ๆ อย่างแท้จริงดังเช่น หลักการ empathize หรือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ของกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (design thinking) นั่นเอง ซึ่งทักษะเหล่านี้จะต้องใช้เวลาในการสั่งสม

สำหรับกลุ่มอาชีพที่ยิ่งสูงวัย ยิ่งเฉา กลุ่มอาชีพเหล่านี้จะเป็นกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากการลดลงของทักษะทางปัญญา (cognitive skills) และทักษะทางกายภาพ (physical skills) บางประเภท โดยทักษะที่จะลดลงตามอายุ ได้แก่ ทักษะในด้านความจำ ทักษะในด้านการรับรู้และตอบสนอง ทักษะในด้านกำลังหรือความอดทนของร่างกาย และทักษะในด้านความคล่องแคล่วรวดเร็วของร่างกาย เป็นต้น

โดยอาชีพที่ถูกจัดลำดับว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยในด้านการมีผลิตภาพ (productivity) ที่ลดลงจากการมีอายุเฉลี่ยที่สูงขึ้น ได้แก่ อาชีพเกษตรกร คนงานก่อสร้าง ผู้ผลิตและควบคุมเครื่องจักร คนงานเหมืองแร่ และผู้ขับขี่ยานยนต์และเครื่องจักรชนิดเคลื่อนที่ได้ โดยอาชีพเหล่านี้ต้องอาศัยทักษะทางปัญญา (cognitive skills) และ

ทักษะทางกายภาพ (physical skills) ไม่ว่าจะเป็นทักษะในด้านการรับรู้และตอบสนองสำหรับผู้ผลิตและควบคุมเครื่องจักรหรือผู้ขับขี่ยานยนต์และเครื่องจักรชนิดเคลื่อนที่ได้ หรือแม้กระทั่งทักษะในด้านกำลังหรือความอดทนของร่างกายสำหรับอาชีพเกษตรกร

ดังนั้น การรู้จักปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เป็นทางเลือกที่ดีสุดสำหรับการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เป็นข้อคิดสุดคลาสสิกจากนักวิจัยในด้านวิวัฒนาการ และนักธรรมชาติวิทยาชื่อดัง ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ดังนั้น ทางออกของทางตันที่ดีสุด คือการยอมรับ และตระหนักว่า “ทางมันตัน” และเริ่มต้นเดินทางใหม่ ๆ

ซึ่งสำหรับกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่มีโอกาสได้รับผลกระทบเชิงลบจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย คงหมายถึงการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ (reskill) หรือการเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ (relearn) ที่อาจจะทำให้ผู้ประกอบอาชีพนั้นยังคงรักษา หรือแม้แต่เพิ่มทักษะและผลิตภาพ (productivity) ให้สูงขึ้นก็เป็นได้

โดยภาครัฐเองก็ต้องมุ่งเน้นให้ความสำคัญในด้านนี้ เพราะทุกคนและทุกอาชีพไม่ได้มี “ทุน” สำหรับการปรับตัวที่เท่ากัน แต่สิ่งหนึ่งที่สรุปได้อย่างแน่นอนก็คือ ถ้าสภาพแวดล้อมได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนแล้ว แต่ยัง (พยายาม) ทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม ผลลัพธ์ก็จะเป็นตามข้อสรุปของชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่ทุกท่านก็ทราบดีว่าคืออะไร

หมายเหตุ – อ้างอิง : Cai, J., & Stoyanov, A. (2016). Population aging and comparative advantage. Journal of International Economics, 102, 1-21.