หนังสือนิทานเสียง

คอลัมน์ เอชอาร์ คอร์เนอร์

จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์สำคัญในทุกช่วงวัยและช่วงเวลาโดยเฉพาะเด็ก ๆ เพราะจะช่วยให้เกิดความคิดใหม่ ๆ คิดนอกกรอบ และมีอิสระในการคิด แม้ช่วงเวลาที่ทั้งโลกยังเผชิญวิกฤตที่ดูเหมือนจะทำให้หลายสิ่งต้องสะดุดและอาจหยุดชะงัก แต่การเสริมสร้างจินตนาการต้องดำเนินต่อไป

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จึงจัดทำ “โครงการหนังสือนิทานเสียง UOB Voice of Love” ชวนพนักงานในองค์กรผู้มีจิตอาสามาร่วมส่งเสียง อ่านเรื่องราว เสริมด้วยเสียงประกอบและดนตรีในเนื้อเรื่องเพื่อสร้างความน่าสนใจ ร้อยเป็นนิทานเสียงจำนวน 100 เรื่องในหมวดหมู่ต่าง ๆ อาทิ ความรู้รอบตัว จริยธรรม สุขอนามัย สร้างแรงบันดาลใจ เสริมจินตนาการ

เพื่อส่งต่อเป็นของขวัญให้น้องผู้พิการทางสายตาช่วงอนุบาลและประถมวัยทั่วประเทศรวม 12 โรงเรียน และได้บรรจุเข้าห้องสมุดคนตาบอดและผู้พิการทางสื่อสิ่งพิมพ์แห่งชาติ (Daisy Thailand Project) เพื่อให้น้อง ๆ ผู้พิการทางสายตามีโอกาสได้รับฟังนิทานเสียงอย่างทั่วถึง และจากนิทานเสียงก็ได้ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปศิลปะงานปั้นตามจินตนาการของเด็ก ๆ

ที่สำคัญ ยังทำให้นิทานเสียงสามารถกระตุ้นและเสริมสร้างจินตนาการของเด็ก ๆ ให้ดีที่สุด โครงการหนังสือนิทานเสียง UOB Voice of Love จัดเวิร์กช็อปให้พี่อาสาของยูโอบีก่อนลงมืออ่าน และอัดนิทานเสียงสำหรับน้องทั้งในเรื่องเทคนิควิธีการใช้เสียง การเล่าเรื่อง การเตรียมความพร้อมและสิ่งที่ควรรู้ โดยได้ 3 ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการใช้เสียงเพื่อการแสดง และการเล่านิทานสำหรับเด็กมาร่วมโครงการครั้งนี้

ศิรเมศร์ อัครภากุลเศรษฐ์ นักพากย์, Voice Trainer และอาจารย์สอนการแสดง ทัพอนันต์ ธนาตุลยวัฒน์ นักแสดง และ Voice Trainer และณิชา รอดอนันต์ นักแสดง นักเล่านิทาน และผู้ก่อตั้งคณะละครปู๊นปู๊น ทั้ง 3 ท่านได้แบ่งปัน 5 เทคนิคที่เป็นประโยชน์ต่อพี่อาสาและผู้ที่สนใจเล่านิทานเสียงในข้อหัว “ศาสตร์และศิลป์ในการอ่านนิทานเสียงที่สุขใจทั้งผู้เล่าและผู้ฟัง”

1.การเลือกนิทาน ควรคัดสรรเนื้อหาของนิทานให้เหมาะกับวัยของผู้ฟัง ซึ่งนิทานสำหรับเด็กเล็กควรมีเนื้อหาที่ส่งเสริมจินตนาการ ความรู้ และคุณธรรม จากนั้นให้เลือก “เรื่องที่อยากจะเล่า” เพราะจะทำให้พี่อาสาเพลิดเพลินไปกับการอ่านนิทานเสียง

2.การเตรียมเล่าเรื่อง เริ่มต้นจากการอ่านนิทานทั้งเรื่องเสียก่อน เพื่อทำความเข้าใจตัวละครแต่ละตัวในนิทาน หาภาพรวม หรือ key word สำคัญของเรื่องว่ามีโทนแบบใด อาทิ หวาดกลัว รัก หงุดหงิด หรือกล้าหาญ จะช่วยให้พี่อาสาสามารถกำหนดอารมณ์และน้ำเสียงของเรื่องได้ชัดเจนมากขึ้น ที่สำคัญอย่าลืมสร้างแคแร็กเตอร์ พร้อมกับการกำหนดจังหวะการพูดของตัวละครแต่ละตัวให้แตกต่างกัน เพื่อป้องกันความสับสนที่อาจจะเกิดขึ้นในขณะอัดเสียง

3.การเตรียมความพร้อม ผู้เล่าควรทำการวอร์มร่างกาย ฝึก “การหายใจและวอร์มลิ้น” เพื่อให้มีการหายใจที่เป็นธรรมชาติ ไม่กลั้นหายใจนานจนเกินไป รวมถึงลิ้นจะได้ไม่แข็งในขณะที่อ่านนิทาน ด้วยการฝึกกระดกลิ้นอ้าปากกว้าง ๆ แล้วออกเสียง a i e o u พร้อมขยับกล้ามเนื้อใบหน้าให้มากกว่าปกติ นอกเหนือจากด้านร่างกาย ด้านอุปกรณ์ก็ควรเตรียมให้พร้อม

พี่อาสาจะต้องทำความคุ้นเคยกับอุปกรณ์อัดเสียงของตัวเองว่ามีโปรแกรมใด ใช้งานอย่างไร แก้ไขได้หรือไม่ ตั้งชื่อ บันทึก และส่งต่ออย่างไร เราควรถือหรือวางอุปกรณ์อัดเสียงให้ห่างจากปากของเราเท่าใด ซึ่งแต่ละคนมีเสียงที่เบา ดัง หนา หรือบางไม่เท่ากันจึงควรหาระยะที่เหมาะสมของตนเอง และแนะนำให้อัดเสียงแคแร็กเตอร์แต่ละตัวไว้ฟัง เพื่อจะได้แยกแยะตัวละครได้ง่ายขึ้น

4.การอัดเสียง ควรอัดเสียงในพื้นที่เงียบ เสียงไม่ก้อง “ออกเสียงให้ชัดถ้อยชัดคำ” อ่านไปอย่างที่ซ้อม ใช้จังหวะการพูดที่แตกต่างกัน ช้า เร็ว ใช้โทนเสียงสูงและต่ำตามแคแร็กเตอร์ของตัวละครที่ได้กำหนดไว้ และอ่านโดยแบ่งวรรคตอนตามธรรมชาติจนจบเรื่อง หัวใจสำคัญคือ…จงสนุกไปกับนิทาน คนฟังก็จะสนุกไปด้วย

5.การเพิ่มความโปร อย่ากลัวว่าจะทำได้ไม่ดี อย่ากดดันตนเองจนไม่สนุกไปกับการอ่านนิทานเสียง คนไทยล้วนมีพื้นฐานการเล่านิทาน และเสียงของภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์สูงต่ำ ทำให้น่าฟังโดยธรรมชาติอยู่แล้ว นอกจากนี้ “การขยับร่างกายไปตามเรื่องราวในนิทาน” ช่วยเพิ่มความสนุกในการเล่า และทำให้ออกเสียงได้ดียิ่งขึ้น หากไม่เชื่อโปรดลองดู

เพราะการได้ยินเป็นหนึ่งในประสาทสัมผัสที่ผู้พิการทางสายตาใช้ทดแทนการมองเห็น ดังนั้น “เสียง” จึงมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นโครงการหนังสือนิทานเสียง UOB Voice of Love จึงเป็นการแบ่งปันความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการจากพี่อาสาสู่น้อง ๆ ผู้พิการทางสายตาผ่านนิทานเสียงแห่งความรักจำนวน 100 เรื่อง เพื่อเพิ่มจำนวนนิทานเสียงที่หาได้ยากในห้องสมุดเสียงทั่วไป ให้เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับน้อง ๆ

“ศิริทร บุญนำ” Relation Manager, PFS, UOB Thailand หรือ “คุณเจเจ” หนึ่งในพี่อาสาที่มีความตั้งใจจะเล่านิทานเสียงให้แก่ผู้พิการทางสายตาจนมีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมครั้งนี้ โดยได้เลือกนิทานเรื่อง “พญาลิง ผู้ยิ่งใหญ่” ให้น้อง ๆ ซึ่งเหตุผลที่เลือกนิทานเล่มนี้ก็เพราะว่าหนังสือนิทานเล่มนี้มีเนื้อหามาจากนิทานชาดก และมีความน่ารักเป็นพิเศษตรงที่ผู้แต่งใช้คำคล้องจอง การอ่านคำกล้องจอง ภาษาจะคล้ายเสียงดนตรี ซึ่งส่วนตัวคิดว่าน่าจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองของเด็กวัยเรียนไปด้วย

ขณะที่ “จิราพร พนมสวย” ครูสอนศิลปะ โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพบอกว่า “นิทานเสียงที่ได้รับจากโครงการ UOB Voice of Love เป็นของขวัญที่ตอบโจทย์ความต้องการของเด็ก ๆ ที่นี่ จริง ๆ เด็ก ๆ สามารถเสียบแฟลชไดรฟ์เข้ากับอุปกรณ์ส่วนตัวเพื่อเลือกเปิดฟังเองได้ ขณะที่ครูก็สามารถใช้เป็นสื่อการสอนในหลากหลายวิชา รวมถึงวิชาศิลปะ นอกจากนิทานเสียงแล้ว โครงการนี้ยังมอบดินเบามาให้ด้วย

“ในชั่วโมงศิลปะหลังจากที่ได้ฟังนิทานเสียง เด็ก ๆ ต่างชื่นชอบสัตว์ที่ได้ยินในนิทานหนูชอบยีราฟ มันมีจุด ๆ, หนูชอบหนู แล้วก็ได้ใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ในการปั้นรูปสัตว์ที่ตนเองชอบจากการฟังนิทาน รวมถึงได้อธิบายถึงความคิด แบ่งปันความรู้สึกให้เพื่อน ๆ ได้ฟัง ทำให้เด็ก ๆ เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ รู้สึกเป็นที่ยอมรับมากขึ้น และมีความสุขมากขึ้น”


ความสุขและความประทับใจจากการฟังนิทานแบบนี้จะเกิดขึ้นในโรงเรียนสอนคนตาบอด 12 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงห้องสมุดเสียงสำหรับผู้พิการทางสายตา เพราะเสียงสามารถส่งต่อความรู้ จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงความรักได้มากกว่าที่สายตาเราจะมองเห็น