ขณะที่การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทั้งเศรษฐกิจ และสุขภาพของคนทั่วโลก จนหลายคนอาจลืมไปว่ายังมีอีกสถานการณ์ที่เป็นปัญหาฉุกเฉินในทุกประเทศรวมถึงประเทศไทย คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) หรือสภาวะโลกร้อน
ถึงแม้ว่า 196 ประเทศจะลงนามใน “ข้อตกลงปารีส” เพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส แต่ภายในเวลาเพียง 5 ปี (2559-2563) อุณหภูมิโลกกลับร้อนขึ้นเฉลี่ย 1.2 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าอุณหภูมิโลกเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นตลอดศตวรรษที่ 19 หลายเท่า
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
ผลกระทบของสภาพอากาศร้อนทำให้ธารน้ำแข็งทั่วโลกเริ่มละลาย ทั้งยังหนุนน้ำทะเลให้สูง และร้อนขึ้น จนเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกสี และสัตว์ทะเลเกยตื้น ที่สำคัญ ยังเป็นต้นเหตุของภัยแล้งไฟป่า น้ำท่วม รวมถึงภัยธรรมชาติอื่นที่รุนแรงและเกิดบ่อยขึ้น โดยล่าสุด World Economic Forum เปิดเผยการวิเคราะห์ไว้ใน “The Global Risks Report ปี 2564” ว่า 5-10 ปีนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความล้มเหลวในการบริหารจัดการสภาพภูมิอากาศ และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกรุนแรงมาก
ดังนั้น ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) องค์กรภาคการเงินและการธนาคาร จึงต้องการเพิ่มบทบาทที่สำคัญในการช่วยโลกลดสภาวะโลกร้อน โดยส่งเสริมธุรกิจของลูกค้าองค์กรของธนาคารให้บรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (low-carbon economy)
“เคลวิน แทน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวว่า เดือนตุลาคม 2563 ผ่านมา HSBC ได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1) ที่เกิดจากส่วนของการปฏิบัติงานภายในองค์กรและห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของบริษัทรวมถึงสาขาต่าง ๆ ทั่วโลกให้เป็นศูนย์ (zero net) ภายในปี 2573
และ 2) จากส่วนของธุรกิจของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านการเงินให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 เพื่อช่วยสนับสนุน และพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวสู่สังคมและเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืนต่อไปในอนาคต
“จากผลการสำรวจความคิดเห็นของ HSBC Navigator ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของบริษัท 4,131 แห่ง จาก 16 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย พบว่า โควิด-19 ทำให้บริษัทต่าง ๆ ทั่วเอเชียต้องปรับตัวเพื่อความยืดหยุ่นทางธุรกิจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน โดยเน้นความจำเป็นเร่งด่วนของการปฏิรูปสู่ระบบดิจิทัล (digitisation) รวมถึงผลักดันให้ภาคธุรกิจทบทวนวิธีการเพิ่มความโปร่งใส (transparency) และความสามารถด้านการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) ให้กับห่วงโซ่อุปทาน (supply chain)”
“ทั้งนี้ ภาคธุรกิจยังให้ความสำคัญกับวาระด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลมากขึ้น โดยร้อยละ 92 ของบริษัทที่ร่วมตอบคำถามเปิดเผยว่า ได้รับแรงกดดันจากบรรดาลูกค้าให้บริษัทหันมาใส่ใจผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจต่อสภาวะแวดล้อมมากยิ่งขึ้น”
ด้วยเหตุนี้ HSBC ประเทศไทย จึงเปิดให้บริการเงินฝากสีเขียว หรือ green deposit ซึ่งถือเป็นธนาคารแรกในประเทศไทยที่ให้บริการนี้ โดยเงินฝากสีเขียวเป็นผลิตภัณฑ์ด้านเงินฝากที่มีจุดมุ่งหมายส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืนทางธุรกิจ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ด้วยการนำเงินสดคงเหลือมาฝากกับ HSBC เพื่อเราจะนำไปลงทุนในโครงการต่าง ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่เป็นโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ทั้งยังช่วยลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดภาวะโลกร้อน เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โครงการสร้างอาคารสีเขียว โครงการการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน เป็นต้น
ส่วนอัตราดอกเบี้ยของ green deposit อยู่ในระดับที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับตลาด แต่อาจไม่ได้สูงกว่าเงินฝากทั่วไปของ HSBC เพราะวัตถุประสงค์ของเงินฝากสีเขียว คือ ช่วยให้บริษัทที่มีเงินทุนเหลืออยู่ และยังไม่มีโครงการลงทุนใหม่ ๆ ได้เข้ามาลงทุนด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม-environmental, สังคม-social และธรรมาภิบาล-governance)
“เคลวิน แทน” อธิบายต่อว่า ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในไทย 2 ราย ร่วมโครงการ green deposit คือ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL บริษัทเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก และบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) หรือ CPALL ผู้ประกอบธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดของไทย โดยได้เปิดบัญชีเงินฝากสีเขียวแล้วในสกุลเงินบาท
“ปัจจุบันมีหลายบริษัทในไทยที่แสดงความสนใจนำเงินมาฝากในเงินฝากสีเขียว แต่ HSBC ต้องพิจารณาถึงความต้องการใช้เงินจากฝั่งลูกค้าผลิตภัณฑ์สินเชื่อสีเขียว (green loan) ของเราควบคู่กันว่ามีความต้องการสอดคล้องกันหรือไม่ ก่อนจะเปิดรับเงินฝากสีเขียวอีกครั้ง”
“นอกจากประเทศไทย HSBC ยังมีผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากสีเขียวในประเทศอินเดีย, อังกฤษ, สิงคโปร์ และฮ่องกง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน โดยหลักการพิจารณาเปิดตัวผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากสีเขียวในประเทศใด ๆ จะพิจารณาจากความต้องการเงินลงทุนของธุรกิจสีเขียวที่ผ่านมาตรฐานของ HSBC ก่อน จากนั้นจึงประสานกับลูกค้าภาคเอกชนที่มีเงินสดในมือค่อนข้างมาก สามารถลงทุนในระยะยาว และต้องเป็นภาคเอกชนที่มีนโยบายส่งเสริมด้าน ESG ที่ยั่งยืน”
“กฤษฎา แพทย์เจริญ” ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายพาณิชย์ธนกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ความท้าทายด้านการเงินสีเขียว (green financing) ของอุตสาหกรรมการเงินและการธนาคารในประเทศไทย อยู่ที่เฟรมเวิร์กการทำงาน ซึ่งตอนนี้ยังมีไม่ชัด ทำให้การลงมือปฏิบัติเกิดความสับสนระหว่างแนวทางสีเขียว (green) ความยั่งยืน (sustainability) และธรรมาภิบาล (governance)
“ดังนั้น ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) จึงพยายามพูดคุยกับภาคธุรกิจการเงิน และการธนาคารในไทย เพื่อจัดทำเฟรมเวิร์ก green financing ให้ชัด โดยตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินงาน โดยทาง HSBC ได้แบ่งปันแนวทาง ประสบการณ์ และกลยุทธ์ด้าน green financing ที่เราใช้ในระดับโลกให้ทาง BOT ได้เป็นข้อมูล เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับประเทศไทยตามความเหมาะสม”
“ปัจจุบันหัวข้อหลักที่นักลงทุนเกือบทุกรายจะสอบถามก่อนการตัดสินใจลงทุน คือ แต่ละบริษัทมี ESG และนโยบายสีเขียว (green policy) หรือไม่ เพราะมีความเชื่อว่าการมุ่งเน้นเรื่องความยั่งยืนไม่ใช่เพียงแค่ส่งผลดีต่อโลกเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อธุรกิจด้วย”
“ดังนั้น ธนาคารเอชเอสบีซีในทั่วทุกภูมิภาคจึงร่วมประกาศเจตนารมณ์และตั้งเป้าหมายเดียวกันในการช่วยสนับสนุนจัดหาเงินทุน และส่งเสริมการลงทุนที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจ ที่มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ สอดคล้องกับเป้าหมายของข้อตกลงปารีส โดยเราจัดสรรเงินและการลงทุนจำนวน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับลูกค้าในทุกภาคส่วนเพื่อสนับสนุนการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า”
“โจนาธาน เต” ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายจัดการด้านการเงินและบริหารสภาพคล่อง ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวว่า HSBC ได้รับรางวัล Euromoney Awards for Excellence 2020 ในฐานะธนาคารดีที่สุดของโลกด้านการเงินที่ยั่งยืนประจำปี 2563 เพราะบริษัทมีความโดดเด่นด้านความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และการลงทุน ที่จะสามารถนำมาซึ่งโลกที่มีความยั่งยืนและยืดหยุ่นที่แท้จริงได้ในระยะยาว
“นอกจากการเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์แล้ว HSBC ยังมีความมุ่งมั่นในการประเมินผลงาน net zero ที่ชัดเจน และวัดผลได้โดยใช้เครื่องมือของข้อตกลงปารีส (Paris Agreement Capital Transition Assessment-PACTA) ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือวิเคราะห์สถานการณ์สภาพอากาศแบบโอเพ่นซอร์ซสำหรับภาคการเงินที่พัฒนาขึ้นจากข้อมูลของธนาคารชั้นนำระดับโลก มหาวิทยาลัย และองค์กรพัฒนาเอกชน ที่ช่วยให้สามารถวัดความสอดคล้องของพอร์ตการลงทุนและสถานการณ์สภาพภูมิอากาศ”
“รวมถึงการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมอุตสาหกรรม ในการระดมระบบการเงินตามมาตรฐานที่สอดคล้องกันทั่วโลกเกี่ยวกับการวัดการปล่อยมลพิษทางการเงิน และการพัฒนาตลาดชดเชยคาร์บอนชดเชย โดย HSBC ยังมีการเปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศอย่างสม่ำเสมอ และโปร่งใส ซึ่งเราจะสนับสนุนให้ลูกค้าทำเช่นกัน เพื่อร่วมสร้างอีโคซิสเต็มธุรกิจสีเขียว และลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
นับเป็นความมุ่งมั่นของธนาคาร HSBC ที่ต้องการสนับสนุนองค์กร และภาคธุรกิจต่าง ๆ ให้มุ่งเน้น และให้ความสำคัญต่อกลยุทธ์ด้านการสร้างความยั่งยืนมากขึ้น เพื่อร่วมกันสร้างเศรษฐกิจสีเขียวให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง