“มารีญา-วรรณสิงห์” วอนผู้มีอำนาจฟังเสียงคนรุ่นใหม่ แก้ไข PM2.5 จริงจัง

วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักสื่อสารด้านสิ่งแวดล้อม (ซ้าย) และ มารีญา พูลเลิศลาภ ผู้ก่อตั้งโครงการ SOS Earth

“มารีญา-วรรณสิงห์” วอนผู้มีอำนาจฟังเสียงคนรุ่นใหม่ แก้ไข PM2.5 จริงจัง เพราะการจะแก้ปัญหาได้จะต้องไปแก้ที่กฎหมายและนโยบาย และมีระบบที่เอื้อให้คนใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ง่ายกว่านี้

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ Thailand Youth Policy Initiative จัดเวที Webinar ในหัวข้อ “ปัญหา PM2.5 กับชีวิตคนรุ่นใหม่” เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2564 โดยมี “มารีญา พูลเลิศลาภ” ผู้ก่อตั้งโครงการ SOS Earth และผู้ครองตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ปี 2560 และ “วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล” นักสื่อสารด้านสิ่งแวดล้อม มาร่วมส่งเสียงในฐานะคนรุ่นใหม่ และชวนให้เกิดการลงมือแก้ปัญหา PM2.5 อย่างจริงจัง

“มารีญา” กล่าวว่า เยาวชนทั่วโลกในปัจจุบันมี passion เกี่ยวกับอนาคตของตนเอง ผ่านการแสดงออกบนโลกออนไลน์และออฟไลน์ ยกตัวอย่างเช่น ปรากฎการณ์ Climate Strike ที่จุดกระแสไปทั่วโลก จนผู้ใหญ่ต้องหยิบยกประเด็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้นมาพิจารณามากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่ประเทศไทยก็มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ส่งเสียงออกมามากขึ้น และเป็นเสียงที่ดัง แต่ยังมองไม่เห็นว่าผู้มีอำนาจรับฟังไปแล้วจะดำเนินการต่ออย่างไร

“เมื่อเสียงเหล่านั้นดังออกมาแล้ว เราเห็นแล้วว่าปัญหาอยู่จุดไหน เห็นว่ามีผู้คนที่ออกมาขับเคลื่อน แต่กลุ่มผู้มีอำนาจเมื่อรับฟังแล้วจะดำเนินการต่ออย่างไร ส่วนนี้เป็นจุดที่ยังมองไม่เห็นมากนัก จึงอยากให้มีพื้นที่เพื่อคนรุ่นใหม่จะเข้าไปแสดงความคิดเห็น แล้วผู้มีอำนาจสามารถนำประเด็นเหล่านั้นไปขับเคลื่อนต่อ”

ปัญหาสิ่งแวดล้อมขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคน ว่าจะมองเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญหรือไม่ หรือจะเข้ามาทำอะไรเพื่อมีส่วนช่วยหรือไม่ ส่วนนโยบายของรัฐและของเอกชนต้องทำให้เห็นภาพของปัญหาที่เป็นห่วงโซ่ และไม่ใช่แค่ฝุ่นละออง PM2.5 แต่เพราะเป็นเรื่องของขยะ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ที่ทุกอย่างล้วนเชื่อมต่อกัน

“อย่างไรก็ตามไม่อยากให้คนต้องรู้สึกว่าเป็นเรื่องเครียดขนาดนั้น ที่จะต้องมาคำนึงถึงในทุกการกระทำว่าเราจะกินอะไร เดินทางยังไง เกิดผลกระทบแค่ไหน แต่อยากให้เกิดระบบที่ทุกอย่างเอื้อให้คนสามารถใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ง่ายกว่านี้ ฉะนั้นจึงอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงทางระบบมากกว่าที่จะมาเป็นเรื่องของปัจเจก ไม่ใช่ต้องมาเครียดว่าฉันคนเดียวจะต้องสร้างอิมแพคได้ขนาดไหน”

ขณะที่ “วรรณสิงห์” บอกว่า การเรียกร้องของกลุ่มคนรุ่นใหม่นับว่าเป็น norm (ค่านิยม) แล้วในปัจจุบัน เช่น เกรต้า ธันเบิร์ก ไปจนถึงกระแสการเรียกร้องประชาธิปไตยทั้งในฮ่องกง ไทย พม่า หรือปาเลสไตน์ ที่ลุกขึ้นมานำโดยกลุ่มคนุร่นใหม่ แต่ทว่าบทบาทนั้นยังคงถูกจำกัดอยู่ในฐานะผู้ประท้วงเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจในการบริหารจัดการใด ๆ

จะมีเพียงบางประเทศ เช่น เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ที่มีความแข็งแรงทางประชาธิปไตยสูง และอนุญาตให้คนรุ่นใหม่มีบทบาทในการบริหารจัดการ ทำให้ความคิดเดินไปข้างหน้ารวดเร็ว แต่สำหรับไทยที่ไม่มีระบบแบบนี้รองรับ จึงยังเกิดเป็นการปะทะกันระหว่างความคิด ดังนั้น จึงไม่ใช่คำถามว่าคนรุ่นใหม่มีเสียงหรือไม่ แต่คือการจะทำอย่างไรให้เสียงของคนรุ่นใหม่เป็นมากกว่าแค่การต่อต้าน และจะนำไปสู่การสร้างสิ่งใดได้

ทั้งนี้ หนึ่งในประเด็นทางสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดขณะนี้คือ เราอยู่ในยุคแห่งการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตทั่วโลก ซึ่งรวมถึงมนุษย์ด้วย ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการล่มสลายของสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโลกร้อน ขยะ น้ำเสีย การปล่อยก๊าซ โจทย์นี้เป็นโจทย์ใหญ่มากที่ทุกคนจะต้องให้ความสำคัญ ไม่ใช่มองว่าเรื่องของการรักโลกเป็นเพียงการทำความดีหรือไปปลูกป่าเท่านั้น

“การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเชื่อมโยงกับโครงสร้างทางสังคม เช่น ระบบทุนนิยม ที่อนุญาตให้เราเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ บนดาวที่จะมีลิมิตของการเติบโต รวมถึงเรื่องของความเหลื่อมล้ำ การกระจายรายได้ไปยังจุดที่มีปัญหาของสังคม เพราะการที่จะให้คนยากไร้ ด้อยโอกาส ต้องมาคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมโดยที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาขั้นพื้นฐาน ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล”

“วรรณสิงห์” กล่าวด้วยว่า เมื่อพูดถึงการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง จึงคิดว่าไม่จำเป็นจะต้องมองมาที่คนรุ่นใหม่อย่างเดียว แต่เป็นในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของโครงสร้าง อย่างการที่ประเทศไทยไม่มีองค์กรรับผิดชอบในเรื่องของมลภาวะทางอากาศโดยตรง มีเพียงกฎหมายลูกของหลายหน่วยงาน ซึ่งรับผิดชอบแต่ปัจจัยย่อย ๆ ที่ทำให้เกิดมลภาวะ เช่น ดูแลเรื่องรถ ดูแลไฟป่า ดูแลอุตสาหกรรม แต่ทั้งหมดล้วนแยกส่วนกัน

“ในขณะที่สหรัฐอเมริกาสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการมีกฎหมาย Clean Air Act ตั้งแต่ปี 2513 ซึ่งเป็นตัวอย่างของการจัดการมลภาวะทางอากาศให้กับทั่วโลก ตามมาด้วยการมีหน่วยงาน EPA ซึ่งมีอำนาจชัดเจนในการลงดาบผู้ทำกระทำความผิดทางสิ่งแวดล้อม ดังนั้น แม้การสร้างส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ หรือคนในท้องถิ่นเพื่อมาร่วมกันจัดการฝุ่นละอองจะเป็นสิ่งที่ดี แต่สุดท้ายการจะแก้ปัญหาได้จะต้องไปแก้ที่กฎหมายและนโยบาย”

ด้าน “ผศ.ดร.ทพ.วีระศักดิ์ พุทธาศรี” รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ทั้ง สช. และ สสส. เห็นร่วมกันว่าอนาคตของมนุษย์จะขึ้นอยู่กับคนรุ่นใหม่ และไม่อยากให้การมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่เป็นแค่เสียง แต่ต้องการให้เป็นพลังที่เกิดการขับเคลื่อนได้จริง โดยเฉพาะจุดแข็งและศักยภาพที่คนรุ่นใหม่มี ทั้งความสามารถด้านดิจิทัล การเข้าถึงข้อมูลบนโลกไร้พรมแดน รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากคนรุ่นเก่า

ผศ.ดร.ทพ.วีระศักดิ์ พุทธาศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ

สำหรับปัญหาฝุ่นละออง แม้ สช. จะเคยมีมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเห็นถึงปัญหานี้ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน แต่ยังเป็นการมุ่งไปที่หมอกควันในภาคเหนือ ทว่าเมื่อมีปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 เกิดหนักขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งมีปัจจัยมาจากหลายส่วน สิ่งนี้จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทาย และต้องเชิญชวนทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกัน

“ในส่วนของภาครัฐเองนั้นมีบทบาทและข้อจำกัดของการทำงานอยู่ แต่คนรุ่นใหม่จะมีศักยภาพ ในการเข้ามามีส่วนร่วมพูดคุย ดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง หรือมีนวัตกรรมอะไรออกมา แล้ว สช. กับ สสส. ก็จะนำเอาสิ่งเหล่านั้นออกมาทำให้เกิดขึ้นจริง เพราะที่ผ่านมาเรามีแพลตฟอร์มในการสร้างนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม ซึ่งอาจเกิดจากใครก็ได้ กลุ่มใดก็ได้ เช่นเดียวกับคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาร่วมกำหนดกติกา ใช้จินตนาการมาเติมเต็ม และเข้ามาเป็นจิ๊กซอว์ที่จะทำงานร่วมกัน” ผศ.ดร.ทพ.วีระศักดิ์ กล่าว