ไม่ฉีดวัคซีน (ไม่) จ่ายค่าชดเชย

ประกอบบทความ
เอชอาร์ คอร์เนอร์
ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์
https://tamrongsakk.blogspot.com

เป็นที่ทราบกันว่าภายในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะมีการระดมฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่กันขนานใหญ่ ซึ่งเราก็จะเห็นตามหน้าสื่อต่าง ๆ ว่ามีทั้งคุณหมอและคนที่ได้รับวัคซีนต่างออกมาพูดถึงอาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนว่า บางคนก็มีอาการเยอะ บางคนก็แทบไม่มีอาการอะไรเลย

สำหรับคนที่ยังไม่ได้ฉีดอีกไม่น้อยที่พออ่านการรีวิวอาการข้างเคียงจากสารพัดสื่อก็อาจจะวิตกกังวล เพราะแต่ละคนมีสุขภาพแตกต่างกันไป บางคนกลัวว่าเมื่อฉีดวัคซีนไปแล้วจะเกิดปัญหาอย่างงั้นอย่างงี้ ฯลฯ

ก็เลยเป็นที่มาของเรื่องที่เราจะคุยกันวันนี้ไงครับ

เพราะผมเริ่มเห็นตามหน้าสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์จะมีท่านผู้รู้ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า…ถ้าบริษัทมีนโยบายที่ต้องการจะให้พนักงาน “ทุกคน” ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้วถ้าพนักงานคนไหนไม่ร่วมมือไม่ยอมฉีด บริษัทก็สามารถเลิกจ้างพนักงานคนนั้นได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย โ

ดยอ้างว่าพนักงานฝ่าฝืนมาตรา 119 ข้อ 4 คือฝ่าฝืนคำสั่งของนายจ้างที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม ซึ่งนายจ้างได้ตักเตือนแล้ว (กรณีร้ายแรงไม่ต้องตักเตือน) เพราะบริษัทถือว่าถ้าพนักงานไม่ให้ความร่วมมือฉีดวัคซีนก็อาจจะทำให้บริษัทได้รับความเสียหายได้

ถ้าจะถามว่าผมคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้ ?

ตอบได้อย่างนี้ครับ

1.เรื่องนี้ย่อมต้องมีคนที่คิดเห็นออกเป็น 2 แนวทางอยู่แล้ว คือ พวกหนึ่งจะบอกว่าถ้าพนักงานไม่ร่วมมือฉีดวัคซีน บริษัทสามารถเลิกจ้างได้เลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย กับอีกพวกหนึ่งจะบอกว่าเลิกจ้างได้แต่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานด้วย เพราะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าถ้าพนักงานฝ่าฝืนจะเกิดความเสียหายที่ร้ายแรงกับบริษัท

2.คนที่จะตัดสินเรื่องนี้ได้ และทุกฝ่ายต้องยอมรับ คือ “ศาลแรงงาน” ครับ ไม่ใช่ความคิดเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้น ต้องเกิดการปฏิบัติจริงตามข้อ 1 แล้วเกิดการฟ้องร้องกันขึ้นมานั่นแหละเราถึงจะทราบบรรทัดฐานที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

3.แต่เนื่องจากผมเป็น HR ที่ชอบใช้วิธีสื่อสารพูดคุยกันด้วยแรงงานสัมพันธ์ที่ดีกันก่อน (คือใช้การพูดคุยด้วยภาษาแบบพี่แบบน้องแบบเพื่อนร่วมงานแทนการพูดกันด้วยภาษากฎหมายนะครับ) ผมก็จะทำแบบนี้ครับ

3.1 พนักงานที่ร่วมมือฉีดวัคซีน ซึ่งผมเชื่อว่าพนักงานกลุ่มนี้จะเป็นคนกลุ่มใหญ่ของบริษัทกลุ่มนี้ไม่มีปัญหาต้องแก้ กลุ่มนี้จบครับ

3.2 พนักงานที่ไม่ร่วมมือฉีดวัคซีนโดยมีปัญหาสุขภาพ กลุ่มนี้ผมก็เชื่ออีกว่าน่าจะมีน้อยถึงน้อยมาก ๆ ก็ต้องคุยกันแบบ case by case ว่าใครมีปัญหาอะไรทำไมถึงไม่อยากฉีดวัคซีน แล้วค่อยมาดูว่าเหตุผลของใคร make sense มากน้อยแค่ไหน ถ้าคุยแล้วเห็นว่าพนักงานที่ไม่ฉีดวัคซีนมีปัญหาสุขภาพส่วนตัวจริง ๆ และสมเหตุสมผล อันนี้ก็ต้องมาหาวิธีจัดการที่เหมาะสมกันต่อไป ซึ่งกลุ่มนี้ก็จะเป็นกลุ่มที่เล็กมากหรืออาจจะไม่มีเลยก็เป็นได้

4.พนักงานที่ไม่ร่วมมือโดยไม่มีปัญหาสุขภาพ แต่ไม่อยากฉีดเพราะกลัวโน่นกลัวนี่ (อ่านสื่อมากจนเป็นวัคซีนโฟเบีย) ก็ต้องหาคนที่เขาเคารพนับถือ หรือคนที่เขาเชื่อฟังมาคุยกับเขา เช่น HR ลองไปคุยกันครอบครัวญาติพี่น้องคนที่เขานับถือให้มาช่วยพูดโน้มน้าวให้เขาฉีดวัคซีนเพื่อสุขภาพของเขาและส่วนรวมในบริษัท หรือบางคนอาจจะกำลังรอวัคซีนในดวงใจไม่อยากได้วัคซีนที่รัฐจัดให้ ฯลฯ

ซึ่งผมเชื่อว่าก็น่าจะจบได้ด้วยดี แต่ถ้ายังไม่ยอมร่วมมือโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร ก็ต้องบอกเขาว่าตัวเขาเองอาจจะมีปัญหาในการทำงานร่วมกับทีมงานหรือการไม่ร่วมมือนี้อาจมีผลกับการขึ้นเงินเดือนประจำปี การจ่ายโบนัส ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ตรงนี้ขึ้นอยู่กับบริษัทว่าจะเห็นสมควรจากเบาไปหาหนัก โดยจัดการเป็น case by case

5.ไม่ควรใช้วิธีการตั้งธงแบบเหมารวมเอาไว้แล้วออกประกาศทำนองว่า ถ้าพนักงานคนไหนไม่ให้ความร่วมมือฉีดวัคซีน บริษัทจะเลิกจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยโดยอ้างข้อกฎหมาย เพราะการทำแบบนี้จะทำให้เกิดการต่อต้านจากพนักงานทั้งคนที่อยากฉีดวัคซีนและคนที่ไม่อยากฉีด เนื่องจากพนักงานจะเห็นว่าทำไมต้องมาบังคับกันด้วย เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล ถ้าเขาเป็นอะไรไปแล้วใครจะรับผิดชอบ ฯลฯ

อาจมีหวังเกิดดราม่ามหากาพย์ พูดง่าย ๆ คือไม่ควรเอาปัญหาของคนกลุ่มเล็ก ๆ มาแก้ แล้วไปมีผลกระทบกับคนกลุ่มใหญ่ที่ไม่มีปัญหาครับ

อ่านที่ผมแชร์ไอเดียมาทั้งหมดนี้แล้วก็อยู่ที่ท่านผู้อ่านแล้วล่ะครับว่าจะตัดสินใจยังไง และควรจะต้องใช้หลักกาลามสูตรประกอบการคิดแก้ปัญหานี้ดูเพื่อให้ได้ทางแก้ที่ดีที่สุดสำหรับองค์กรของท่าน


แล้วเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน เป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ