ทุก ๆ “U” ทำสิ่งดี ๆ แผนพัฒนาความยั่งยืน “ยูนิลีเวอร์”

โรเบิร์ต แคนเดลิโน
โรเบิร์ต แคนเดลิโน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย

นับว่าเป็นความสำเร็จด้านธุรกิจกับการที่มีประชากร 2.5 พันล้านคนทั่วโลกที่ใช้ผลิตภัณฑ์ “ยูนิลีเวอร์” ในทุกวัน ทั้งนั้นเพื่อประโยชน์ และจุดประสงค์ต่าง ๆ ขณะเดียวกัน บริษัทมีความเชื่อว่าธุรกิจต้องส่งเสริมผลกระทบเชิงบวกให้กับชุมชนด้วย เพราะเป็นทางเดียวที่จะทำให้ธุรกิจจะประสบความสำเร็จท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ

ด้วยเหตุนี้ กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย จึงมุ่งมั่นขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภค และดูแลสิ่งแวดล้อมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ

รีไซเคิล 100% ปี 2025

“โรเบิร์ต แคนเดลิโน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า ยูนิลีเวอร์อยู่ในประเทศไทยมา 88 ปี สิ่งที่น่าภูมิใจในแง่ของความสำเร็จด้านธุรกิจคือเกือบทุกบ้านใช้ผลิตภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์ แต่ในแง่ความยั่งยืนของบริษัทมองว่าต้องใช้ศักยภาพขององค์กรไปสร้างความแตกต่างให้สังคมและสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง

นับตั้งแต่ปี 2010 เราเปิดตัว Unilever Sustainable Living Plan (USLP) หรือแผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของยูนิลีเวอร์ที่ครอบคลุม 3 ด้าน คือ 1.พัฒนาสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภค 2.ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ 3.ส่งเสริมการทำมาหากิน

“ทั้งนี้ เราพัฒนาความพยายามในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะปัญหาที่ต้องเผชิญบนโลกกำลังแย่ลงไปจากเดิม เช่น เรื่องขยะพลาสติก ดังนั้น ในปี 2017 เราจึงประกาศแผนลดใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก ที่
ไม่สามารถรีไซเคิลได้ลงครึ่งหนึ่ง ร่วมกับการเปลี่ยนไปใช้วัสดุทางเลือก หรือวัสดุที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ เพื่อลดปริมาณขยะที่เกิดขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค”

“โดยตั้งเป้าว่าจะใช้พลาสติกรีไซเคิลในบรรจุภัณฑ์ 50% หรือลดการใช้เม็ดพลาสติกใหม่ลงครึ่งหนึ่ง หรือ 100,000 ตันทั่วโลก และจะใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ 100% ภายในปี 2025”

“อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานนั้นอาจยังไม่เพียงพอ เพราะในภาคธุรกิจต่าง ๆ ยังมีการใช้พลาสติกเวอร์จิ้น หรือเม็ดพลาสติกใหม่ไม่มีวัสดุรีไซเคิลผสมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัญหาระบบนิเวศในประเทศไทยน่าเป็นห่วง เพราะประเทศไทยเพียงประเทศเดียวมียอดขยะพลาสติกประมาณ 3 ล้านตันต่อปี และขยะพลาสติกประมาณ 2.5 ล้านตันไม่ได้ถูกนำไปรีไซเคิลส่งผลให้มีขยะพลาสติกไปยังหลุมฝังกลบ”

“ดังนั้น ในปี 2019 ยูนิลีเวอร์จึงประกาศว่าจะเก็บรวบรวมพลาสติกที่ใช้แล้ว และแปรรูปให้ได้มากกว่าปริมาณพลาสติกที่จำหน่ายออกไป เพื่อช่วยลดผลกระทบเพิ่มขึ้น ที่ผ่านมายูนิลีเวอร์ใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลหลังการบริโภค (post-consumer recycled : PCR) ภายในประเทศไทยประมาณ 4,000 ตัน”

“ปัจจุบันหลายแบรนด์ของเรา เช่น ซันไลต์, คอมฟอร์ท, ซันซิล และโดฟ ล้วนใช้ขวดบรรจุภัณฑ์ที่เป็น PCR ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศ และทำให้เกิดการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการคัดแยก และจัดเก็บขยะพลาสติก เพื่อให้ขยะพลาสติกถูกนำมาหมุนเวียนใช้ในระบบ”

บริจาค 500 ล. ร่วมสู้โควิด

“โรเบิร์ต แคนเดลิโน” กล่าวด้วยว่า ขณะนี้การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทวีความรุนแรงอย่างมากในประเทศไทย บริษัทเห็นว่ามีความต้องการผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอย่างมาก แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนมีการระบาด ดังนั้น ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจึงบริจาคผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด รวมไปถึงชุดตรวจโควิด-19 รวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาทให้กับโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนามโควิด พร้อมกับช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสต่าง ๆ

“นอกจากนั้น ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ยังบริจาคสินค้าอุปโภคบริโภค มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท ให้กระทรวงสาธารณสุข เพื่อส่งมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานในโรงพยาบาลสนามใน กทม. และต่างจังหวัด เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19″

“ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่บริจาคครั้งนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 388,080 ชิ้น ประกอบไปด้วยโจ๊กสำเร็จรูป, สบู่, ครีมอาบน้ำ, ครีมทาผิว รวมถึงการเป็นผู้นำทีมสื่อสารของภาคเอกชน โดยร่วมกับสภาหอการค้าไทย และบริษัทชั้นนำในไทยสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขให้บรรลุเป้าหมายในการฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อย 70% ของประชากรทั้งหมดในประเทศไทย”

ทุก ๆ “U” ทำสิ่งดี ๆ

“โรเบิร์ต แคนเดลิโน” บอกด้วยว่า จนถึงปัจจุบันทุกแบรนด์ของบริษัทได้ร่วมกันทำประโยชน์เพื่อสังคมด้านต่าง ๆ มาตลอด จนล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2564 ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญ “ทุก ๆ U ทำสิ่งดีๆ” (Every U Does Good : EUDG) บนกลยุทธ์ Unilever Compass เพื่อธุรกิจยั่งยืน

โดยแนวทางของแคมเปญนี้ต้องการสื่อให้ผู้บริโภคเห็นว่าทุกแบรนด์ของยูนิลีเวอร์ ไม่ว่าจะเป็นบรีส, โอโม, ซันไลต์, ซันซิล, โดฟ, วาสลีน, คนอร์ หรือวอลล์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับความยั่งยืนในแง่มุมต่าง ๆ เพราะทุก BU (Business Unit) ที่ดูแลแต่ละแบรนด์ของยูนิลีเวอร์พยายามมาร่วมกันทำสิ่งดี ๆ

เช่น วาสลีน บริจาคเจลล้างมือมูลค่า 40 ล้านบาทให้กับโรงเรียนทั่วประเทศในสังกัดของสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ผ่านแคมเปญวาสลีนชวนคนไทยร่วมดูแลมือของเรา, โอโมก่อตั้งโครงการ OMO Bright Future Academy โดยร่วมมือกับครูลูกกอล์ฟ ติวเตอร์ภาษาอังกฤษชื่อดัง เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจ และศักยภาพการสื่อสารภาษาอังกฤษให้กับคนรุ่นใหม่

“ส่วนซันซิลจัดการแข่งขัน Sunsilk Possibilities Fund เพื่อให้ผู้หญิงมีโอกาสตามหาอาชีพในฝัน และเสนอแผนธุรกิจของตนเอง ชิงเงินรางวัลมูลค่า 1 ล้านบาท เพื่อนำไปก่อตั้งธุรกิจตามที่หวัง และบรีสมีการปรับสูตรใหม่ โดยแทนที่สารเคมีด้วยเอนไซม์จากธรรมชาติและลดการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล เพื่อมุ่งหน้าสู่อนาคตที่สะอาด”

“ในขณะที่คนอร์มีการส่งเสริมโภชนาการอาหาร โดยร่วมมือกับองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) สร้าง future 50 foods สูตรอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการตามธรรมชาติ และมีผลกระทบต่อโลกน้อยกว่าอาหารจากสัตว์ ทั้งยังช่วยปกป้องอาหารแห่งโลกอนาคต นอกจากนั้น ซันไลต์ทุกขวดผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% และโดฟสอนให้เด็กผู้หญิงมีความมั่นใจในตัวเอง เป็นต้น”


ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าบริษัทให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม และช่วยเหลือสังคม เพื่อให้ผู้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น