องค์กรพิทักษ์สัตว์โลก ห่วง “สวนเสือศรีราชา” วอนรัฐตรวจสอบ

สวนเสือ

จากการประกาศเลิกกิจการของ “สวนเสือศรีราชา” เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมาองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน แสดงความรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพสัตว์ของสัตว์ป่า โดยให้ร่วมกันจัดการสัตว์ป่าที่ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสม เพื่อเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานสากล

“ปัญจเดช สิงห์โท” ที่ปรึกษาด้านนโยบายองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก กล่าวว่า จากการรณรงค์เรื่องยุติผสมพันธุ์เสือในกรงเลี้ยงมาอย่างต่อเนื่อง จึงเรียกร้องให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ใช้อำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เข้าตรวจสอบบัญชีประชากรสัตว์ป่าทั้งหมดหลังปิดกิจการไป จนถึงควบคุมกระบวนการขาย เคลื่อนย้าย หรือโอนสิทธิสัตว์ป่าให้เป็นไปตามกฎหมาย และมาตรฐานสากล

พร้อมเน้นย้ำว่าสัตว์ป่าไม่ควรถูกนำมาหาประโยชน์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตั้งแต่แรก เพราะมีปัญหาด้านสวัสดิภาพมากมายและไม่เป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์

“เราพยายามเสนอมาตลอดว่าไม่ควรมีการอนุญาตให้ผสมพันธุ์เสือในกรงเลี้ยงจนเพิ่มจำนวน และการเพิ่มจำนวนสัตว์ในกรงเลี้ยงโดยเฉพาะเสือ ไม่ได้ช่วยอนุรักษ์สัตว์ป่าใด ๆ ทั้งสิ้น แถมยังมีปัญหาด้านสวัสดิภาพสัตว์มากมาย เช่น การที่สัตว์ป่าถูกจำกัดอิสรภาพในกรงเลี้ยงตลอดชีวิต กระบวนการฝึกสัตว์ป่าอย่างโหดร้ายทารุณเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับนักท่องเที่ยว ยิ่งไปกว่านั้นหลายกรณีในอดีตยังพบว่ามีการลักลอบผสมพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อลักลอบขายชิ้นส่วนอีกด้วย ซึ่งอวัยวะของเสือเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดมืด”

นอกจากนั้น “ปัญจเดช” ยังแสดงความกังวลต่อสวัสดิภาพของสัตว์ป่าสวนเสือศรีราชาที่ประกาศว่าจะดูแลต่อไป เนื่องจากสัตว์ป่ามีจำนวนมากทำให้การดูแลและหาบ้านใหม่อาจจะเป็นไปอย่างยากลำบากในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ โดยเรียกร้องไปยังผู้รับผิดชอบในสวนเสือศรีราชา และกรมปศุสัตว์เปิดเผยแผนการดูแลสัตว์ป่าที่เหลืออยู่เหล่านี้ต่อสาธารณะว่าเป็นไปตามมาตรฐานด้านสวัสดิภาพสัตว์หรือไม่

ทั้งนั้น เพราะองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกพบว่าปัจจุบันธุรกิจสวนสัตว์เอกชนจำนวนมากทั่วโลกกำลังทยอยปิดตัวลง โดยเฉพาะปี 2563 ผ่านมาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนักจากรายได้ที่ลดลงในวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ส่งผลให้สัตว์ป่าที่อยู่ในกรงขังจำนวนมากต้องตกอยู่ในความเสี่ยง

“ฉัตรณรงค์ เมืองวงษ์” ผู้จัดการแคมเปญสัตว์ป่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า สัตว์ป่าสมควรได้อยู่ในป่า พวกมันไม่ควรถูกนำมาผสมพันธุ์เชิงพาณิชย์ ฝึกอย่างโหดร้ายทารุณ และใช้ชีวิตแบบทุกข์ทรมานเพียงเพื่อความบันเทิงของนักท่องเที่ยวตั้งแต่แรก

“ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกกอบโกยกำไรบนความทุกข์ทรมานของสัตว์ป่ามหาศาล แต่เมื่อเกิดวิกฤตแบบนี้กลับไม่สามารถรับผิดชอบชีวิตสัตว์ป่าได้เลย กลายเป็นภาระของทุกฝ่ายที่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วย ตอนนี้รัฐบาลหลาย ๆ ประเทศจึงเริ่มพิจารณาเพิ่มมาตรฐานการควบคุมและจัดการสัตว์ป่าในสวนสัตว์เอกชนกันแล้ว ล่าสุดเช่นฝรั่งเศสที่ออกกฎหมายแบนการใช้สัตว์ป่าแสดงโชว์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา”

“เราหวังว่าภาครัฐของไทยจะปรับปรุงนโยบายและกฎหมายต่าง ๆ ให้ปกป้องสัตว์ป่ามากขึ้น โดยเฉพาะการยุติการผสมพันธุ์สัตว์ป่าเชิงพาณิชย์ ป้องกันการทำร้ายสัตว์ป่าอย่างโหดร้ายทารุณ ตลอดจนหยุดให้ใบอนุญาตแก่ผู้ประกอบกิจการที่เคยมีประวัติทรมานหรือสร้างความเสียหายต่อสัตว์ป่า เพราะนอกจากจะเป็นการปกป้องสัตว์ป่าแล้ว ยังเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยวด้วย เพราะนักท่องเที่ยวทุกวันนี้รับไม่ได้กับกิจกรรมที่ทรมานสัตว์ป่ามากขึ้นเรื่อย ๆ”

“ดังนั้น ในฐานะองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกจึงขอยืนยันจุดยืนไม่สนับสนุนการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าเชิงพาณิชย์ และไม่สนับสนุนการค้าสัตว์ป่า ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย เนื่องจากทางองค์กรเน้นย้ำว่าการกอบโกยผลประโยชน์จากสัตว์ป่าไม่ได้แค่ทำให้ชีวิตสัตว์ป่าต้องทุกข์ทรมานเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อคนด้วย เพราะเป็นที่มาของโรคระบาดจากสัตว์สู่คนหลายชนิดอย่างเช่น โรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาด สร้างความเสียหายทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจไปทั่วโลกอยู่ตอนนี้”

นับว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจทีเดียว