สหรัฐข้ามไทยเยือนเวียดนาม สจล. ชี้มีแรงจูงใจเรื่องแรงงานระดับมันสมอง

ภาพ: REUTER/Evelyn Hockstein/Pool (กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พบนายกรัฐมนตรี เวียดนาม ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ระหว่างการประชุมที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม 25 สิงหาคม 2564)

รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเยือนอาเซียน บินข้ามไทยไปหาเวียดนาม ปัจจัยหนึ่งมาจากเรื่องแหล่งกำลังคนระดับชั้นมันสมอง (talent pool)

วันที่ 1 กันยายน 2564 ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และนายกสภาวิศวกร ร่วมวิเคราะห์ 3 ปัจจัยกระตุ้นให้ “เวียดนาม” ชนะ “ไทย” โดยกล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่ กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เยือนอาเซียนอย่างเป็นทางการ พบผู้นำสิงคโปร์ 3 วัน เพื่อกระชับความร่วมมือสนับสนุนสิงคโปร์ให้เป็นศูนย์นวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุขระดับโลก ก่อนบิน (ข้ามประเทศไทย) ไปคุยกับผู้นำเวียดนามอีก 2 วัน แล้วจึงบินกลับกรุงวอชิงตัน โดยที่ไม่มาประเทศไทย

“ถือว่าครั้งนี้ประเทศสิงคโปร์ได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ เพราะได้ทั้งความเชื่อมั่นในการเมืองระหว่างประเทศ ว่าคือศูนย์กลางหรือผู้นำชาติอาเซียน ที่ได้ทั้งกำลังการลงทุนและได้ทั้งกำลังมันสมอง เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของชาติ อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์กับสหรัฐอเมริกาผูกพันกันต่อเนื่องและยาวนาน ทว่าประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศสังคมนิยม ที่ในอดีตเกิดความขัดแย้งทางการทหารกับสหรัฐอเมริกา จนเกิดสงครามกัน แต่ในวันนี้กลายเป็นพันธมิตรใกล้ชิด และกำลังก้าวขึ้นเป็นจีน 2 ในเอเชีย”

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการ สจล.

ซึ่งหากวิเคราะห์ถึงปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้เวียดนามก้าวกระโดดข้ามประเทศไทย มีดังนี้

1) เวียดนามมีปริมาณกำลังคนประชากรมากกว่าไทย มีประชากร 100 ล้านคน และไม่ใช่แค่คนระดับใช้แรงงาน แต่ยังมีคนระดับชั้นมันสมองเพิ่มมากขึ้น จากการพัฒนาการศึกษาเชิงคุณภาพอย่างต่อเนื่องและจริงจัง

“ซึ่งพิสูจน์ได้จากเด็กเวียดนามที่ได้รับทุนของไทย เพื่อมาศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอก ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. เห็นได้ว่าทุกคนทั้งเก่งคณิตศาสตร์มากกว่าเด็กไทย ภาษาอังกฤษก็เข้มแข็งกว่า และยังขยันสุด ๆ เป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์ไทยมาก เพราะทำงานวิจัยได้ยอด รับผิดชอบสูง น่าประทับใจ”

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงเด็กเวียดนามระดับกลาง เพราะระดับตัวท็อปจะเดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา โดยในวันนี้มีมากกว่า 24,000 คน ที่เน้นศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง ขณะที่มีเด็กไทยเรียนอยู่ในอเมริกาเพียง 6,000 คน น้อยกว่าเวียดนาม 4 เท่า ซึ่งสะท้อนได้ว่า เวียดนามกำลังมีคนระดับมันสมอง โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่เป็นรากฐานของการยกระดับประเทศมากกว่าไทยหลายเท่า

2) เวียดนามมีเงิน มีงบประมาณ เพราะเศรษฐกิจเวียดนามปีที่ผ่านมาเติบโตที่สุดของโลก ขณะที่ประเทศอื่น รวมทั้งไทย ติดลบ และแค่ครึ่งปีนี้เศรษฐกิจประเทศเวียดนามโตไปมากกว่า 5% แล้วจะร้อนแรงยิ่งขึ้น เพราะเกิดการลงทุนจากต่างประเทศมหาศาล มากกว่าลงทุนในไทยมานานหลายปี

ส่งให้เวียดนามเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก มีบริษัทเกาหลีมาลงทุน 4,000 กว่าบริษัท ขณะที่ไทยมี 400 บริษัท นอกจากนั้นบริษัทชั้นนำของโลกทุกแขนงกำลังมุ่งสู่เวียดนาม ทำให้เกิดการส่งออกสินค้ามูลค่าเพิ่มมหาศาล ซึ่งตอนนี้เวียดนามส่งออกมากกว่าไทย และกำลังจะทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ หากเราไม่คิดปรับตัว

3) เวียดนามมีความรักชาติ เป็นชาตินิยมสูง ถือเป็นจุดแข็งของเวียดนาม เด็กเวียดนามทุกคนเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติ รู้จักการต่อสู้ของโฮจิมินห์ (ลุงโฮ) ที่เคยมาอยู่เมืองไทย เด็กเวียดนามเรียนรู้เรื่องราวความอดทน ไม่ยอมแพ้ ให้ทั้งชีวิตเพื่อสร้างชาติ

นอกจากนั้น คนเวียดนามปลูกฝังค่านิยมรักการอ่าน การขยันเรียนแบบสุด ๆ ถึงแม้โรงเรียนเวียดนามไม่ใหญ่ ไม่สวย เหมือนโรงเรียนไทย แต่คุณภาพไม่แพ้ใครในโลก ดูได้จากคะแนนมาตรฐาน PISA Score เด็กเวียดนามทำได้คะแนนสูงสุดในอาเซียน เกือบเท่าเด็กสิงคโปร์

“คนอเมริกันเชื้อสายเวียดนามในสหรัฐอเมริกาก็เรียนเก่ง ดูได้จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology : MIT) ที่ผมเรียนจบมา มีเด็กอเมริกันเชื้อสายเวียดนามเยอะมาก และประสบความสำเร็จสูงมาก แม้แต่คุณหมอ พญ.ดร.พริสซิลลา ชาน ภรรยาของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ก็เป็นคนเชื้อสายเวียดนาม คนเหล่านี้ยังสนับสนุนประเทศเวียดนามทุกรูปแบบเต็มที่”

ศ.ดร.สุชัชวีร์กล่าวด้วยว่า ไม่อยากให้คนไทยมองข้ามเรื่องเหล่านี้ เพราะสมัยพ่อแม่ของเราไทยไม่แพ้เกาหลี แต่วันนี้เกาหลีเป็นประเทศชั้นนำของโลกไปแล้ว ขณะที่รุ่นผมเกิดมาตอนที่ไทยยังไม่แพ้สิงคโปร์ และไม่แพ้มาเลเซีย แต่วันนี้พวกเขากระโดดไปไกลแล้ว


“ผมยอมรับว่า ทำใจไม่ได้ที่เรากำลังเป็นรองเวียดนาม ไม่ได้อิจฉาเวียดนาม และไม่ได้หมายความว่าเวียดนามดีหรือเก่งกว่าไทยไปทุกเรื่อง เพียงแต่อยากให้คนไทยเรียนรู้ข้อเท็จจริง เพื่อนำมาวางแผนสู้ พัฒนาชาติไทย ต้องไม่ยอมแพ้ สิ่งที่พูดมาเพียงอยากกระตุ้นให้คนไทยสู้ ให้เกิดพลัง และฮึกเหิม ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อโทษใคร เพราะผมยังมั่นใจว่า #คนไทยไม่แพ้ใครในโลก”