ชไนเดอร์ จัดประชุมสุดยอด เรียกร้องรัฐ-เอกชน มุ่งสู่ net zero โดยเร็ว

ภาพ: Matthew Henry/unsplash

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เรียกร้องทุกภาคส่วน ร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงครึ่งหนึ่งภายในช่วงทศวรรษนี้

วันที่ 14 ตุลาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่นที่ได้รับการยกย่องโดย Corporate Knights ว่าเป็นองค์กรที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในโลกประจำปี 2564 เปิดตัวงาน Innovation Summit World Tour 2021 เมื่อวานนี้ (12 ตุลาคม) โดยเป็นงานประจำปีเพื่อจัดการกับความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลก และแนะแนวทางให้ลูกค้า คู่ค้า หน่วยงานที่กำกับดูแล รวมไปถึงผู้กำหนดนโยบาย ให้ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ งานจะจัดต่อเนื่องไปจนถึง 12 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งผู้เข้าร่วมงานจะได้สัมผัสกับนวัตกรรมดิจิทัล และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค รวมไปถึงการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ electricity 4.0 และ next-generation automation

เรียกร้องรัฐบาลพยายามมากขึ้น

นายฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานและซีอีโอของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยประเด็นสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ หรือ net zero และจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส ตามที่กำหนดอยู่ในรายงาน “ความจำเป็น 2030: การแข่งขันกับเวลา” จากสถาบันวิจัยความยั่งยืนชไนเดอร์ อิเล็คทริคว่า

ทุกภาคส่วนต้องร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30-50 เปอร์เซ็นต์ภายในช่วงทศวรรษนี้ หากพลาดจุดนี้ไป อาจจะยากที่จะจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิให้อยู่ที่ระดับ 1.5°C ตามที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel for Climate Change หรือ IPCC) ได้กำหนดกรอบไว้

ฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานและซีอีโอของชไนเดอร์ อิเล็คทริค

 

นอกจากนั้น สถาบันวิจัยความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริคได้นำเสนอแบบจำลองที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่สามารถลดคาร์บอน 10 กิกะตันต่อปี ได้จริงภายในปี 2573 โดยเน้นที่องค์ประกอบย่อยของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก จาก 50GtCO2e/y ซึ่งแบบจำลองพบโอกาสในการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกลง 30% (10 กิกะตันต่อปี) จากฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั้งหมดที่ 30 กิกะตันต่อปี พร้อมกันนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริคได้เรียกร้องให้รัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ พยายามมากขึ้น 3-5 เท่า ในการร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้

“เราเชื่อว่าทางเดียวที่จะทำให้ได้สำเร็จคือ เพิ่มการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ได้รับการพิสูจน์แล้วมาปรับใช้ควบคู่ไปกับการใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการขจัดคาร์บอนในอาคาร การขนส่ง และอุตสาหกรรม โดยแบบจำลองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทางเลือกอื่นจะสร้างภาระให้กับผู้บริโภคจำนวนมาก”

ขยายธุรกิจที่ปรึกษาด้านพลังงาน

นายฌองกล่าวด้วยว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริคอาศัยฐานความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน และการยึดเป้าหมายของดัชนีด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์ปี 2564-2568 มาเร่งดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาด้านความยั่งยืนทั่วโลก พร้อมขยายบริการด้านพลังงานและความยั่งยืน โดยต่อยอดจากความสำเร็จในการดำเนินการเรื่องดังกล่าวมาเป็นเวลา 10 ปี

ปัจจุบัน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือผู้นำระดับโลกด้านการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดหาพลังงานหมุนเวียน การออกรายงานเกี่ยวกับคาร์บอน การประเมินความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ และการลดการปล่อยคาร์บอนในซัพพลายเชน โดยให้บริการซอฟต์แวร์และบริการด้านคำปรึกษาแก่บริษัทใน Fortune 500 มากกว่า 30% ซึ่งลูกค้า ได้แก่ Johnson & Johnson, Walmart, Faurecia, Kellogg, Takeda, Velux Group, Unilever และ T-Mobile เป็นต้น

  • ความต้องการที่เพิ่มขึ้นด้านบริการให้คำปรึกษาเป็นเป้าหมายที่ท้าทายของชไนเดอร์ นอกจากนั้นบริษัทยังจะขยายตัวไปสู่ด้านอื่น ๆ ดังนี้
  • บริการให้คำปรึกษาในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ และการลดคาร์บอนในซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ
  • บริการด้านการสื่อสาร ซึ่งรวมถึงการรายงาน/การประเมินด้าน ESG และการเรียกร้องเกี่ยวกับความยั่งยืนและเรื่องของชื่อเสียง
  • บริการเรื่องของการหมุนเวียนและการตรวจสอบย้อนกลับ
  • โมดูล ESG สำหรับแพลตฟอร์ม EcoStruxure™ Resource Advisor ที่ได้รับรางวัลเพื่อใช้ในการติดตามมาตรการด้านสังคมและการกำกับดูแล

พลังงานสีเขียวอัจฉริยะ

หนึ่งในเป้าหมายที่ท้าทายของชไนเดอร์ อิเล็คทริคคือ การผลักดันนวัตกรรมที่ให้ความยั่งยืน และสร้างเส้นทางไปสู่ net zero) ด้วยการช่วยให้ลูกค้าหลายภาคส่วนคิดค้นนวัตกรรม และย้ายไปสู่ระบบเปิดที่สามารถทำงานร่วมกันได้ง่ายผ่านระบบดิจิทัล

รวมถึงแนวทางที่ช่วยให้ทำธุรกิจได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น โดยในงาน Innovation Summit World Tour 2021 ชไนเดอร์ อิเล็คทริคได้มีการเปิดตัวนวัตกรรมดิจิทัลที่ช่วยลดคาร์บอนภายในบ้าน ในอาคาร ในดาต้าเซ็นเตอร์ ในโครงข่ายพลังงาน และอุตสาหกรรมต่าง ๆ

นายฌองบอกว่า บริษัทเห็นการหลอมรวมระหว่างดิจิทัลและไฟฟ้าด้วยซอฟต์แวร์ ทำให้พลังงานเป็นสีเขียว ซึ่งเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับการลดคาร์บอน ซึ่งดิจิทัลทำให้พลังงานช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพ และขจัดของเสียได้อย่างชาญฉลาด การหลอมรวมดังกล่าวทำให้เกิด ‘ไฟฟ้า 4.0’ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำหรับโลกไฟฟ้าใบใหม่

“วันนี้ชไนเดอร์ อิเล็คทริคเปิดตัวโซลูชันบ้านอัจฉริยะที่ให้ความยั่งยืน ซึ่งรวมถึง wiser ที่ช่วยจัดการกับพลังงานที่เสียไป โดยภายในปี 2593 คาดว่าภาคครัวเรือนจะเป็นภาคที่ใช้ไฟฟ้ามากที่สุด และเป็นภาคที่มีส่วนในการปล่อยคาร์บอนในปริมาณสูงสุดถึง 34% เลยทีเดียว”

นอกจากนั้น resilient digital grids เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของชไนเดอร์ที่มาแรง ด้วยเทคโนโลยีปลอดก๊าซ SF6 เพื่ออากาศบริสุทธิ์ สำหรับโครงข่ายพลังงานแบบ net zero ด้วย RM AirSeT Ring Main Unit และ Modular Switchgear รวมไปถึง MCSeT Active ซึ่งเป็นสวิตช์บอร์ดแรงดันไฟฟ้าปานกลางแบบใช้ฉนวนอากาศ

อุตสาหกรรมแห่งอนาคต

นายฌองอธิบายว่า บริษัทพัฒนาประสิทธิภาพและความคล่องตัวด้านพลังงานด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI), เทคโนโลยี digital twin รวมถึงข้อมูลเชิงลึกที่เป็น human insight ที่ได้รับการสนับสนุนจากระบบวิเคราะห์ขั้นสูง และซอฟต์แวร์อุตสาหกรรมที่ทำงานร่วมกันได้โดยไม่เลือกค่ายผู้จำหน่าย รวมถึงระบบอัจฉริยะด้านประสิทธิภาพจาก AVEVA เช่น

EcoStruxure™ Automation Expert 21.2 ให้การบริหารจัดการ life cycle ครบวงจรสำหรับโรงงานผลิตน้ำ และโรงงานบำบัดน้ำเสีย ด้วยระบบอัตโนมัติแรกของโลกที่ใช้ซอฟต์แวร์เป็นศูนย์กลางในการจัดการที่ผสานรวมบริการด้าน IT และ OT ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ยืดอายุการทำงานของระบบ และพัฒนาเพิ่มเติมต่อไปได้อย่างง่ายดาย

EcoStruxure Machine ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับผู้ประกอบการด้านเครื่องจักรและลดเวลาในการพัฒนา ด้วย Lexium MC12 multi carrier ใหม่ ที่ช่วยดูแลเรื่องการขนส่ง การจัดกลุ่ม และการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ ซึ่งผู้ประกอบการ OEM สามารถบรรลุประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น รวมถึงให้ความยืดหยุ่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนสูงสุดถึง 40% และช่วยให้การติดตั้งและทดสอบเครื่องจักรทำได้เร็วขึ้น 50% ซึ่งเมื่อผสานรวมเทคโนโลยี digital twin แล้ว Multi carrier ใหม่นี้ ยังช่วยลดการออกแบบเครื่องจักรและย่นเวลาในการออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น 30%