เอสซีจี ชู ESG 4 Plus ทุ่ม 7 หมื่นล้าน มุ่งสู่ Net Zero

เอสซีจี ชู ESG 4 Plus เดินหน้าธุรกิจ ควบคู่กู้วิกฤตโลกร้อน ทุ่ม 7 หมื่นล้าน มุ่งสู่ Net Zero – Go Green ลุยพลังงานสะอาด พัฒนาธุรกิจคาร์บอนต่ำ ดันนวัตกรรมรักษ์โลกเพิ่มขึ้น 2 เท่า ระดมปลูกต้นไม้ 3 ล้านไร่ สร้าง 130,000 ฝาย

วันที่ 8 ธันวาคม 2564 นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวในงาน “SCG ESG Pathway เริ่มด้วยกัน เพื่อเราเพื่อโลก” ว่า โลกกำลังเผชิญวิกฤตใหญ่ ได้แก่ อากาศแปรปรวนจากอุณหภูมิโลกสูงขึ้น 1.2 องศา ทรัพยากรทั่วโลกขาดแคลน จากจำนวนประชากรที่จะเพิ่มสูงขึ้น 9.6 พันล้านคน ทำให้ทรัพยากรขาดแคลนและขยะล้นโลก

ขณะที่โควิด 19 ทำให้ความเหลื่อมล้ำในสังคมขยายวงกว้าง คาดว่าปี 2022 คนตกงานทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 205 ล้านคน เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง เยาวชนจำนวนมากหลุดออกจากระบบการศึกษา ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกันกู้วิกฤตโลก โดยใช้ ESG (Environmental, Social, Governance) กรอบการพัฒนาที่เป็นมาตรฐานการดำเนินธุรกิจระดับโลกสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs (Sustainable Development Goals) ของสหประชาชาติ และโมเดล เศรษฐกิจใหม่อย่างยั่งยืนของรัฐ หรือ BCG Economy (Bio-Circular-Green Economy)

“ที่ผ่านมาเอสซีจี ใช้แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SD (Sustainable Development) เป็นแนวทางดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม วันนี้เราก้าวสู่ปีที่ 109 จึงยกระดับ SD สู่แนวทาง ESG 4 Plus ได้แก่ 1.มุ่ง Net Zero 2.Go Green 3.Lean เหลื่อมล้ำ 4.ย้ำร่วมมือ Plus เป็นธรรม โปร่งใส”

นายรุ่งโรจน์ กล่าวต่อว่า สำหรับ แนวทางที่ 1 มุ่ง Net Zero ตั้งเป้ามุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 (Net Zero) โดยเบื้องต้นเราตั้งไว้ว่าภายในปี 2030 ต้องลดการปล่อยลงให้ได้อย่างน้อย 20% โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานคาร์บอนต่ำอย่างพลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและเชื้อเพลิงจากขยะในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ การใช้ลมร้อนเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต และพลังงานแสงอาทิตย์

รวมถึงวิจัยและลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Technology) อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เช่น บริการจัดหายานยนต์ไฟฟ้าโดยคัดสรรผู้ผลิตที่มีความเชี่ยวชาญ สำหรับลูกค้าธุรกิจและองค์กร เช่น รถยก รถบรรทุก รถบัส รถตู้ขนาดเล็ก และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล

โดยเน้นที่คุณภาพและความปลอดภัยของแบตเตอรี่ รวมถึงการบริการจัดหาอุปกรณ์ Charger ระบบกักเก็บพลังงาน การจัดเตรียมศูนย์กระจายชิ้นส่วนอะไหล่ ของยานยนต์ไฟฟ้า การประกอบรถยนต์ ได้แก่ การนำเข้าชิ้นส่วนอะไหล่จากมาจากต่างประเทศ เพื่อประกอบรวมกับชิ้นส่วนอะไหล่ภายในประเทศ หรือการแปลงสภาพจากรถเครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นรถยนต์ไฟฟ้า การซ่อมบำรุงต่าง ๆ นอกจากนี้จะมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI Supervisory for Energy Analytics) และเตรียมทดลองนำร่องใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage – “CCUS”) เป็นต้น

ที่สำคัญยังคงเดินหน้าปลูกต้นไม้ลดโลกร้อน 3 ล้านไร่ และป่าโกงกาง 3 หมื่นไร่ ดูดซับ 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมขยายผลไปในอาเซียน รวมถึงสร้างฝายชะลอน้ำเพิ่มเติม 130,000 ฝาย เพื่อฟื้นความอุดมสมบูรณ์ ให้แก่ป่าต้นน้ำ และขยายชุมชนการจัดการน้ำยั่งยืนให้ครอบคลุม 50 จังหวัดทั่วประเทศ

ส่วนแนวทางที่ 2 Go Green จะผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ลดการใช้คาร์บอนมากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการใช้ทรัพยากรตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนไปด้วยกัน

โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ฉลาก SCG Green Choice เป็น 2 เท่าจาก 32% เป็น 67% ภายในปี 2030 อาทิ ปูนงานโครงสร้าง เอสซีจี สูตรไฮบริด ที่ใช้เชื้อเพลิงชีวมวล ทดแทนการใช้ถ่านหินซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตปูนซีเมนต์ได้เท่ากับ 18% และมีการนำลมร้อนที่เกิดจากการผลิตนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ทำให้ลดการใช้พลังงานถึง 38% การผลิตปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก 1 ตัน จะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.05 ตัน CO2

หรือจะเป็นบริการระบบหลังคา SCG Solar Roof Solutions, นอกจากนี้ ยังตั้งบริษัท SCG Cleanergy ให้บริการโซลูชันผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งแสงอาทิตย์และลม ทั้งในไทยและต่างประเทศ ,CPAC Green Solution ช่วยให้ก่อสร้างเสร็จไว ลดของเหลือทิ้งในงานก่อสร้าง,SCG Green Polymer นวัตกรรมพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ตอบโจทย์ธุรกิจและผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม บรรจุภัณฑ์ของเอสซีจีพีทั้งหมดสามารถรีไซเคิล ใช้ซ้ำ หรือย่อยสลายได้ในปี 2050

“ซึ่งแนวทางที่มุ่ง Net Zero และGo Green เราตั้งเป้าใน 7-8 ปีข้างหน้า หรือประมาณปี 2030 ได้ประมาณการเงินลงทุนเบื้องต้นไว้ที่ 70,000 ล้านบาท หรือปีละ 10,000 ล้านบาท สำหรับการปรับปรุงกระบวนการผลิตและพัฒนาธุรกิจคาร์บอนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิลงให้ได้ 20% ภายในปี 2030

แนวทางที่ 3 Lean เหลื่อมล้ำ จะมุ่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วยการพัฒนาทักษะอาชีพที่ตลาดต้องการให้แก่ชุมชนรอบโรงงาน และ SMEs ประมาณ 20,000 คน ภายในปี 2025 เช่น อาชีพพนักงานขับรถบรรทุก โดยโรงเรียนทักษะพิพัฒน์ อาชีพ ช่างปรับปรุงบ้าน โดย Q-Chang (คิวช่าง) อาชีพแปรรูปผลิตภัณฑ์ และขายสินค้าออนไลน์และออฟไลน์ผ่านโครงการพลังชุมชน อาชีพผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ นักบริบาลผู้สูงอายุ ผ่านทุนการศึกษาจากโครงการ Learn to Earn โดยมูลนิธิเอสซีจี รวมถึงเสริมความรู้เพิ่มผลผลิตให้เกษตรกร ด้วย Kubota Smart Farming

แนวทางที่ 4 ย้ำร่วมมือ สร้างความร่วมมือขับเคลื่อน ESG กับหน่วยงานระดับประเทศ อาเซียน และระดับโลก อาทิ ร่วมกับไปรษณีย์ไทยและองค์การเภสัชกรรม ในโครงการ “ไปรษณีย์ reBOX” รีไซเคิลกล่องกระดาษเหลือใช้ ร่วมกับ PPP Plastic จัดการขยะพลาสติกเพื่อนำกลับมาสู่กระบวนการรีไซเคิล สร้างต้นแบบการจัดการขยะพลาสติก ร่วมกับ Unilever เปลี่ยนขยะพลาสติกใช้แล้วจากครัวเรือนเป็นพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง สำหรับผลิตขวดบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล ร่วมกับ Global Cement and Concrete Association (GCCA) ลดการปล่อยและกักเก็บก๊าซเรือนกระจกเข้าไปในเนื้อคอนกรีตในอุตสาหกรรมซีเมนต์ (Recarbonation: CO2 sink)

และล่าสุด ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดประชุม Green Meeting ในงานประชุม APEC2022 และ ASEAN Summit นอกจากนี้ ได้เตรียมจัดงาน ESG Symposium ในไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย เพื่อเชิญชวนทุกภาคส่วนในอาเซียนร่วมขับเคลื่อน ESG ต่อไป

สุดท้ายคือ Plus เป็นธรรม โปร่งใส เอสซีจีได้ขับเคลื่อนองค์กรตามแนวทาง ESG 4 Plus ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี (Governance) อย่างต่อเนื่อง ดำเนินทุกกิจกรรมอย่างเป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยังเน้นการปลูกฝังไปยังพนักงาน ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนเป็นวัฒนธรรมองค์กร