ปัจจุบันนักลงทุนทั้งไทย และต่างประเทศให้ความสำคัญต่อการนำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (environmental, social and governance-ESG) มาใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนมากขึ้น จนทำให้หลาย ๆ บริษัทต่างหันมาโฟกัสเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) จัดตั้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) ขึ้นมาอย่างเป็นทางการ เป้าหมายเพื่อยกระดับกระบวนการพัฒนาความยั่งยืน
โดยมุ่งให้ความสำคัญในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ยิ่งเฉพาะเรื่องพลังงาน และก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินธุรกิจ รวมถึงประเด็นด้านการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ และการให้ความร่วมมือเพื่อพิชิตเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตอกย้ำจุดยืน “Smarter Energy for Sustainability : อนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน”
- ฟินแลนด์ระงับการให้วีซ่าแรงงานเก็บผลไม้ป่าทุกคนจากไทย
- เหล้าเบียร์ 5 แสนล้านสะเทือน สิงห์-ช้างอ่วม กฎหมายใหม่ห้ามโฆษณา
- ประกันสังคม เตรียมขยายเพดานเงินสมทบ เป็น 17,500-20,000 เกษียณ 65 ปี
สำหรับคณะกรรมการ ESG ประกอบด้วย “พิริยะ เข็มพล” เป็นประธาน พร้อมด้วย “พิชัย ดุษฎีกุลชัย” และ “ธีรภัทร สงวนกชกร” เป็นกรรมการ ซึ่งจะมีบทบาทในการสนับสนุนคณะกรรมการบริษัทในการกำกับดูแลเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ESG ไม่ว่าจะเป็นอาชีวอนามัย และความปลอดภัย ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิทธิมนุษยชน ชุมชน ความรับผิดชอบต่อสังคม ฯลฯ
“พิริยะ เข็มพล” ประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) กล่าวว่า คณะกรรมการจะเป็นผู้ให้คำปรึกษา แนะนำกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง, พิจารณานโยบาย เป้าหมาย การดำเนินงาน และผลลัพธ์, ตรวจสอบและติดตามการบริหารความเสี่ยงด้าน ESG และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย, ตลอดจนดูแลเรื่องการเปิดเผยข้อมูล ESG ที่สำคัญออกสู่สาธารณะ รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ร่วมกับคณะผู้บริหารบริษัท เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานด้าน ESG ให้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิผลสูงสุด
“พูดง่าย ๆ คือคณะกรรมการ ESG จะคอยมอนิเตอร์เทรนด์ต่าง ๆ หรือเป็นเรดาร์จับทิศทางให้กับบ้านปู เพราะบ้านปูมีการดำเนินธุรกิจอยู่ใน 9 ประเทศ หากรวมประเทศไทยด้วยก็เป็น 10 ประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศจะมีทิศทางแตกต่างกัน และมีความหลากหลายของธุรกิจ โดยองค์ประกอบของคณะกรรมการ ESG มีคณะกรรมการอิสระอยู่ 3 ท่าน แต่ละท่านล้วนมีประสบการณ์ด้านงานต่างประเทศ”
“ในส่วนของผมมีประสบการณ์ในจีนถึง 7 ปี ตำแหน่งสุดท้ายดำรงงานในฐานะทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง เกษียณอายุก่อนเกิดวิกฤตโควิดเข้ามา ทั้งยังเคยทำงานที่กรมศุลกากรเซี่ยงไฮ้ ก่อนหน้านั้น 7 ปี เป็นทูตมองโกเลีย และอยู่กงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก ฯลฯ”
“ฉะนั้น ผมจะสามารถนำเรื่องงานต่างประเทศเข้ามาเสริมในบ้านปูได้ ขณะที่คุณพิชัย ดุษฎีกุลชัย ก็มีประสบการณ์ด้านสถาบันการเงินระหว่างประเทศชั้นแนวหน้า ส่วนคุณธีรภัทร สงวนกชกร จะมีประสบการณ์ด้านวิศวกรรม โทรคมนาคม ก็ถือว่ามีความหลากหลาย เข้ามาช่วยกันดูเทรนด์หรือแนวโน้มต่าง ๆ”
“พิริยะ” กล่าวต่อว่า สำหรับทิศทางขณะนี้ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญเรื่อง ESG เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ธุรกิจของเราที่อยู่ใน 10 ประเทศก็ต้องตื่นตัวด้วย ต้องดูว่าแต่ละประเทศมี policy อย่างไรบ้าง ตอนนี้บอร์ดกำลังมองเรื่องการลงทุน และ green transition เพื่อให้ตอบโจทย์ COP26 ที่กำหนดเอาไว้ว่าอุณหภูมิโลกจะต้องเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส
“ยกตัวอย่างตอนนี้จีนกำลังหาโมเดลการเติบโตที่มุ่งไปสู่พลังงานสะอาด เดิมธุรกิจใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็จะเปลี่ยนไปใช้พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานน้ำ เรามีธุรกิจในจีน เราสามารถเรียนรู้ไปกับจีนได้ ตอนนี้บ้านปูกำลังคิดเรื่องพลังงานรูปแบบใหม่ที่ต้องลงทุน ซึ่งมีเรดาร์อยู่หลายเรื่อง เช่น การลงทุนใหม่ พื้นที่ใหม่จะทำอะไรได้ แล้วจะตอบโจทย์บ้านปูไหม ทุกอย่างต้องสมดุล ไม่ใช่ลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก แต่ไม่เหมาะสมกับธุรกิจ ต้องคิดหลายเรื่อง”
“สมฤดี ชัยมงคล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า บ้านปูถือเป็นบริษัทแรกในภูมิภาคอาเซียนที่มีคณะกรรมการ ESG ขึ้นมา บริษัทดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์ Greener & Smarter เรามุ่งเน้นในการสร้างธุรกิจของเราให้มีกระแสเงินสดจากส่วนที่เป็นสีเขียว มากกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2025
“หัวใจสำคัญที่จะทำตรงนั้นคือการทำเรื่อง ESG ซึ่งผ่านมาเรามีการพัฒนาและตัวอย่างกิจกรรมมากมาย เพราะเรามี sustainability committee ยึดแผน SDG เช่น ข้อที่ 7 พลังงานสะอาดที่เข้าถึงได้ (affordable and clean energy) โดยเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 1.1 GW ภายในปี 2568 จะมีการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและพลังงานเชื้อเพลิงที่สะอาดขึ้น และการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ที่ตอบสนองแนวโน้มและความต้องการพลังงานแห่งโลกอนาคต”
“โดยบ้านปูวางเป้าหมายว่า ภายในปี 2568 การเพิ่มสัดส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ย, ภาษี, ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA มากกว่า 50% จะมาจากธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้น และเทคโนโลยีพลังงาน
ข้อที่ 13 การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate action) โดยภายในปี 2568 จะลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับการดำเนินธุรกิจตามปกติสำหรับธุรกิจเหมือง และร้อยละ 20 สำหรับธุรกิจไฟฟ้า ข้อที่ 15 ระบบนิเวศบนบก (life on land) ภายในปี 2568 บ้านปูกำหนดเป้าหมายที่จะบรรลุผลกระทบสุทธิเชิงบวกหลังสิ้นสุดการทำเหมือง สำหรับเหมืองที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ (หลังสิ้นสุดการทำเหมืองจะฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้ดีกว่าก่อนเริ่มทำเหมือง)”
“เรื่องที่ต้องทำเร่งด่วนคือการหันไปให้ความสำคัญกับพลังงานสีเขียว และเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากขึ้น รวมถึงลดการใช้พลังงานจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ มุ่งเน้นพลังงานหมุนเวียน และขับเคลื่อนในส่วนของการดำเนินงานที่ทำไปช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน”
“ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (electric vehicle หรือ EV) ที่ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้ามูฟมี (MovMi) ที่ให้บริการรับส่งลูกค้าตามเส้นทางรถไฟฟ้า ผ่านระบบแอปพลิเคชั่น MovMi ลดการใช้น้ำมันที่เป็นฟอสซิล ลดการปล่อยคาร์บอนของภูมิภาคลง สอดคล้องกับการประชุม COP26 ด้วย”
“จิรเมธ อัชชะ” ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-บริหารและพัฒนาองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เราต้องหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มาจากฟอสซิล ไปใช้พลังงานทดแทนที่มาจากพลังงานแสงอาทิตย์แทน หรือยกตัวอย่าง ธุรกิจถ่านหิน การใช้พลังงานส่วนใหญ่ก็จะหมดไปกับการขุดเจาะถ่านหิน การขนส่งดิน การขนส่งถ่านหิน
“ฉะนั้น เราจะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานในระบบขนส่ง เช่น ปรับเปลี่ยนเส้นทางการเดินรถให้สั้นลง ใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แล้วก็มีโครงการจะลดการใช้พลังงานโดยการนำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการติดตามการขนส่งขนย้ายถ่านหินของรถบรรทุก วัตถุประสงค์ของโครงการเราต้องการที่จะลดระยะเวลาการรอคอย การรับถ่านหิน ตรงนี้เราจะพัฒนาเทคโนโลยีเอง คาดว่าสามารถลดระยะเวลาในการรอคอยได้ถึง 39-40% ซึ่งเทียบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 6.7 ตันคาร์บอนต่อปี”
“รัฐพล สุคันธี” ผู้อำนวยการสาย-สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นอกจากนี้ในด้านสังคม เรามีโครงการด้านการศึกษา เช่น โครงการสนับสนุนการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (BES) สนับสนุนให้มีครูภาษาอังกฤษเจ้าของภาษาเข้ามาสอนในโรงเรียนทั้ง 6 แห่งในจังหวัดลำพูน ลำปาง และพะเยา
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บ้านปูเคยดำเนินธุรกิจ เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านภาษาอังกฤษแก่นักเรียนและบุคลากรในโรงเรียน และโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School Project) เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน, พัฒนาครู, พัฒนาการบริหารจัดการ และพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตในชุมชน
“โครงการ Banpu Champions for Change (BC4C) ร่วมมือกับ Change Fusion เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบกิจการเพื่อสังคม ซึ่งเป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้ต่อยอดไอเดียธุรกิจให้เติบโตทั้งในด้านรายได้และผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม โครงการ Power Green Camp (PWG) ร่วมกับคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ”
“โครงการออกแบบเกม ออกแบบสังคม ร่วมกับคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนานักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และนักเรียนอาชีวศึกษาให้มีทักษะของนวัตกรรุ่นใหม่ ผ่านกระบวนการสร้างบอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้ อีกทั้งยังมีกองทุนมิตรผล-บ้านปู รวมใจช่วยไทย สู้ภัย COVID-19 ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขที่จำเป็น ให้แก่โรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขทั่วประเทศ โดยปัจจุบันกองทุนมีงบประมาณรวม 1,000 ล้านบาท”
“วิรัช วุฒิธนาเศรษฐ์” ผู้อำนวยการสายอาวุโส-กลยุทธ์องค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บ้านปูเชื่อว่าการกำกับดูแลกิจการที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญในการนำมาซึ่งความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ และช่วยให้บ้านปูเติบโตมาได้ตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปี บ้านปูมุ่งเน้นประเด็นการกำกับดูแลกิจการอย่างยั่งยืน
การดูแลจริยธรรมทางธุรกิจ การจัดการคู่ค้าและผู้รับเหมา การบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ และการจัดการความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความปลอดภัยทางไซเบอร์ (data privacy & cybersecurity) การจัดตั้งทีมงาน Incident Management Team หรือ IMT ในการบริหารจัดการในสภาวะวิกฤต ทำให้การดูแลความปลอดภัยของพนักงานและการดำเนินธุรกิจในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
“การจัดตั้งหน่วยงาน Digital Center of Excellence (DCOE) เพื่อขับเคลื่อนบ้านปูให้พร้อมเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (digital transformation) โดยนำนวัตกรรม เทคโนโลยี และแนวคิดแบบดิจิทัลที่ทันสมัยมาใช้อย่างชาญฉลาดทั่วทั้งองค์กร ควบคู่ไปกับการทำงานรูปแบบใหม่ที่รวดเร็วและคล่องตัว “agile working” มากขึ้น เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานในทุกส่วน ”
“อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งคณะกรรมการ ESG สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการกำกับดูแล เพื่อช่วยให้ภารกิจสู่การบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนมีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น”
“การยกระดับความรับผิดชอบด้าน ESG ใน supply chain โดยผนวกเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการคู่ค้า โดยได้ใช้ระบบ ESG audit performance ในกระบวนการคัดเลือกคู่ค้าและผู้รับเหมารายใหม่ ก่อนเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และคู่ค้าที่ร่วมงานกันอยู่ในปัจจุบัน”
นับว่าน่าสนใจทีเดียว