เบทาโกร ผนึก มจธ. ผุดนวัตกรรมพัฒนาโลจิสติกส์

เบทาโกร

ไม่นานผ่านมา บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์ ลงนามความร่วมมือด้านการวิจัย โครงการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่อุปทานและระบบโลจิสติกส์ (Supply Chain & Logistics Excellence) ของธุรกิจเบทาโกร เพื่อมุ่งสร้างนวัตกรรม เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการบริหารห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์

ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจ “Betagro Powering Change” ด้าน supply chain resilience และ digital transformation โดยปีนี้เบทาโกรตั้งเป้าที่จะนำร่องศึกษาวิจัยและพัฒนาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสุกร หลังจากนั้น จะขยายให้ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทานและระบบโลจิสติกส์ของธุรกิจเบทาโกร

ซึ่งมี “วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) และ “ผศ.ดร.มณฑิรา นพรัตน์” รองอธิการบดีฝ่ายอุตสาหกรรมและภาคีความร่วมมือ ในฐานะผู้แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง พร้อมด้วยคณะผู้บริหารเบทาโกร และ มจธ.มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีดังกล่าว

“วสิษฐ” กล่าวในเบื้องต้นว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เบทาโกรในฐานะผู้ประกอบธุรกิจอาหารและเกษตรอุตสาหกรรมครบวงจรชั้นนำ ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เพิ่มผลิตภาพ และประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต

โดยเฉพาะการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นในการสร้างนวัตกรรมใหม่ในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มมูลค่าและตอบสนองความต้องการของลูกค้าและคู่ค้าที่อยู่ในห่วงโซ่ธุรกิจของเบทาโกร

ความร่วมมือด้านการวิจัยของเบทาโกรกับ มจธ. โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์ ภายใต้โครงการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่อุปทานและระบบโลจิสติกส์ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยและการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ (supply chain & logistics) ให้กับธุรกิจของเบทาโกรเองแล้ว ยังเป็นการเพิ่มองค์ความรู้และศักยภาพให้กับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรอีกด้วย

“รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย” อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง มจธ.และเบทาโกรสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาอุดมศึกษาของประเทศ ที่เป็นแหล่งสนับสนุนการสร้างงานและนำความรู้ไปแก้ปัญหาผ่านความร่วมมือกับภาคเอกชนและท้องถิ่น

รวมทั้งเป็นไปตามทิศทางการพัฒนาของ มจธ.ที่มุ่งมั่นในการผลิตกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มี Employability ใน Global market และเป็น Social Change Agent ตลอดจนผลิตงานวิจัยและงานบริการวิชาการให้ตอบโจทย์ชี้นำภาคอุตสาหกรรมและสังคมต่อไป

มจธ.มีศูนย์ความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยเฉพาะทางที่มีประสบการณ์งานวิจัยกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนมากว่า 20 ปี มีผู้เชี่ยวชาญด้านห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ที่พร้อมให้คำปรึกษาเพื่อยกระดับการดำเนินงานด้าน supply chain & logistics ของเบทาโกรอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทในปัจจุบันและในอนาคต

“ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล” ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวเสริมว่า ธุรกิจอาหารและปศุสัตว์มีความสำคัญ และมีคุณค่าเป็นอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย เพราะไทยเป็นสังคมเกษตรกรรมมาอย่างยาวนาน

ขณะเดียวกัน ก็เผชิญความท้าทายใหม่ ๆ เข้ามาอย่างมากมาย ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทำให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเร่งปรับตัวและฝ่าฟันข้อจำกัดต่าง ๆ ด้วยความมุ่งมั่น พร้อมก้าวไปสู่เป้าหมายสำคัญด้านความมั่นคงทางอาหาร (food security)

มจธ.โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์ เล็งเห็นว่าเบทาโกรในฐานะบริษัทชั้นนำด้านการผลิตอาหารและเกษตรอุตสาหกรรมของไทยมีห่วงโซ่อุปทานจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำที่ยาวและมีความซับซ้อน จึงพร้อมที่จะเข้ามาส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายในอนาคต

โดยเฉพาะการพัฒนาความเป็นเลิศของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain excellence) ในการยกระดับประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานและระบบโลจิสติกส์ของเบทาโกร เพื่อสร้างความได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจในระยะยาวต่อไป

สำหรับโครงการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่อุปทานและระบบโลจิสติกส์ เบทาโกรทำงานกับพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจและภาคส่วนต่าง ๆ ด้วยกลยุทธ์ Betagro Powering Change ในด้าน supply chain resilience ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ด้านที่จะเพิ่มความเข้มงวดรัดกุมของระบบ biosecurity ให้มีประสิทธิภาพ และลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนของปัจจัยแวดล้อม ตลอดจนถึงการมองหาโอกาสในการปรับปรุงการดำเนินงานในปัจจุบันและอนาคตควบคู่กันไป