พี่เบิร์ด ชีวิตมาราธอน “ไม่มีจุดสุดท้าย…มีแต่จุดเริ่มต้น”

พี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ ซูเปอร์สตาร์ตลอดกาลของเมืองไทย ห่างหายจากการทำเพลงนานหลายปี ตั้งแต่อัลบั้ม “อาสาสนุก” เมื่อปี 2553 ปีนี้พี่เบิร์ดกลับมาแล้ว พร้อมอัลบั้มใหม่ในชื่อ “Mini Marathon” กับคอนเซ็ปต์การเดินทางอันยาวนานที่ไม่มีเส้นชัยหรือจุดสิ้นสุด

เมื่อได้ยินข่าวว่าพี่เบิร์ดออกอัลบั้มใหม่ หลายคนมีคำถามว่า สมัยนี้ยังออกอัลบั้มกันอยู่อีกเหรอ?

การออกอัลบั้มในสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศทางสังคมและธุรกิจที่ต่างจากยุคก่อนโดยสิ้นเชิง เป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งทั้งทางธุรกิจ อย่างที่รู้ว่าในยุคนี้คนไม่ซื้อเพลงกันแล้ว และที่เสี่ยงมากกว่าคือ ความเสี่ยงเรื่องชื่อเสียง ถ้าทำแล้วไม่ดัง ไม่เปรี้ยง ชื่อเสียงที่สั่งสมมานานจะมาเสียเอาตอนท้าย

คนมากมายจึงเลือกวางมืออำลาไปแบบสวย ๆ เพื่อคงความเป็นดาวค้างฟ้าเอาไว้ ไม่ใช่เฉพาะในวงการเพลงเท่านั้น วงการอื่น ๆ ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน

แต่พี่เบิร์ดไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนั้น เพราะสิ่งที่พี่เบิร์ดให้ความสำคัญมากกว่าคือ แฟนเพลงที่สนับสนุนและมอบความรักให้พี่เบิร์ดมาตลอด พี่เบิร์ดไม่อยากทิ้งแฟนเพลง อย่างที่พี่เบิร์ดเคยบอกกับวงลาบานูนว่า “จะขายทำไมกีตาร์ อย่านะ อย่าทิ้งเขานะ เราทำให้คนเขารักแล้ว จะทิ้งเขาไม่ได้นะ”

“ตอนนี้อย่างที่ทุกคนรู้ว่าอัลบั้มมันกำลังจะเลือนหายไปจากพวกเรา แต่พวกเราพยายามกระชากมันกลับมา พี่เบิร์ดไม่อยากจะทำแค่ซิงเกิลเพลงเดียว พี่เบิร์ดอยากให้คนฟังได้เลือก แต่ละคนอาจจะชอบคนละเพลงกัน เรามีคนที่รักเราทั้งครอบครัว เราจะออกแค่เพลงเดียวมาเพื่อให้คนทั้งหมดรักเรา มันก็ดูจำใจเกินไป ก็เลยออกเป็นอัลบั้ม” คือคำตอบของพี่เบิร์ด สำหรับคำถามที่ว่า ยุคนี้ยังออกอัลบั้มอยู่อีกเหรอ

อัลบั้ม “Mini Marathon” เปิดตัวไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งในงานเปิดตัวมีแฟนเพลงพี่เบิร์ดตั้งแต่รุ่นจิ๋วไปจนถึงรุ่น 50 กว่าเข้าร่วมงานกันเนืองแน่น

คอนเซ็ปต์ของอัลบั้ม “Mini Marathon” เปรียบพี่เบิร์ดเหมือนนักวิ่งมาราธอนที่ใช้เวลานานมาก การทำเพลง 8 เพลง แบ่งตามแต่ละความรู้สึกใน 8 stage ที่ต้องเจอในการวิ่งมาราธอน และที่แตกต่างจากการทำอัลบั้มทั่ว ๆ ไปคือ อัลบั้มนี้เลือก 8 ศิลปินรุ่นใหม่มาทำเพลง 1 เพลงในสไตล์ของตัวเองให้พี่เบิร์ดร้อง ประกอบด้วย บูม บูม แคช, ลาบานูน, ยัวร์บอย ทีเจ, เก็ตสึโนวา, แสตมป์, โพลีแคท, อะตอม, บิ๊กแอส โดยมีอ๊อฟ บิ๊กแอส เป็น executive producer

พี่เบิร์ดพูดถึงการทำเพลงอัลบั้มนี้ว่า “พี่เบิร์ดไม่ต้องเตรียมตัวอะไร แค่ปล่อยตัวปล่อยใจ ให้น้อง ๆ รู้สึกว่าเข้าถึงเรามากที่สุด แต่ละคนทำในสไตล์ที่ถนัด แต่งเพลงอย่างที่ตัวเองร้อง แล้วพี่เบิร์ดจะเข้าไปสวมในเพลงนั้นเอง

การทำงานอัลบั้มนี้ความยากง่ายมันไม่มี มันมีแต่ความสบายใจ ความสุขใจที่ได้ทำ น้อง ๆ ตั้งใจทำมาก ๆ พี่เบิร์ดชื่นใจกับสิ่งที่น้อง ๆ คิดถึงพี่เบิร์ด เขาเห็นพี่เบิร์ดอย่างนี้แล้วคิดยังไง พี่เบิร์ดมีความรักจะเป็นยังไง พี่เบิร์ดเหงาจะเป็นยังไง พี่เบิร์ดเศร้าเป็นยังไง เขาอนุญาตให้พี่เบิร์ดเศร้าได้แค่ไหน

อัลบั้มนี้เต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เต็มไปด้วยความศรัทธา พี่เบิร์ดชื่นใจมาก ๆ รักทุกวินาทีที่ทำงาน สิ่งหนึ่งที่ได้ยินจากน้องตลอดเวลาคือ พวกเราอยากให้พี่เบิร์ดมีเพลงดี ๆ ร้องครับ พวกเราอยากให้พี่เบิร์ดมีความสุข วันนี้พี่เบิร์ดมีความสุขมาก ไม่รู้ว่าใครจะชอบเพลงไหน มันต้องมีสักเพลงหนึ่งที่ชอบ ขอบคุณมาก ๆ ครับ”

ด้านศิลปินรุ่นน้องที่แต่งเพลงให้พี่เบิร์ดล้วนแต่มีมุมมองที่น่าสนใจที่ตัวเขามีต่อพี่เบิร์ดและถ่ายทอดออกมาเป็นเพลงในอัลบั้มนี้

แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข ผู้แต่งเพลง “พริบตา” เล่าว่า “ผมได้โจทย์ว่าให้แต่งเพลงสิ้นหวัง ซึ่งมันเข้าทางนักแต่งเพลงมากเลย นักแต่งเพลงต้องโดนกับความรู้สึกสิ้นหวัง แต่ผมคิดว่าผมไม่อยากให้พี่เบิร์ดมาร้องเพลงฟูมฟาย เพราะว่าพี่เบิร์ดเขาร้องเพลงเธอผู้ไม่แพ้ พี่เบิร์ดเขามีแต่เพลงให้กำลังใจ ผมไม่อยากให้เขาเสียภาพนั้นไป พี่เบิร์ดเขาเป็นคนที่ยังมีความหวังอยู่เสมอ ก็เลยออกมาเป็นเพลงที่พูดถึงคนที่ขอพรต่อดวงดาว ผมคิดว่าคนที่ขอพร ในชีวิตจริงมันต้องทำอะไรไม่ได้แล้วถึงต้องไปพึ่งดวงดาว มันมีความสิ้นหวังมาก ๆ แต่ว่าภาพพี่เบิร์ดขอพร มันยังเป็นภาพที่เรารู้สึกว่ายังเป็นพี่เบิร์ดอยู่ เขายังมีความหวังเสมอ”

กบ บิ๊กแอส ผู้แต่งเพลง “สิ้นสุดคือจุดเริ่มต้น” เล่าว่า “ผมได้รับแรงบันดาลใจเต็ม ๆ จากเพลงเธอผู้ไม่แพ้ ของพี่เบิร์ด คือช่วงนั้นผมกำลังต้องเลือกว่าจะเป็นนักดนตรีเต็มตัวหรือว่าทำงานเดิม คือเป็นไปรษณีย์ ซึ่งการเลือกเป็นนักดนตรีสมัยนั้นมันไม่เหมือนสมัยนี้ มันมืดมนไปหมด ตอนนั้นเพลงเธอผู้ไม่แพ้ ดังขึ้นมา เรานั่งดูเอ็มวีอยู่ เห็นพระเอกเอ็มวีใส่ชุดพนักงานออฟฟิศพระเอกคนนั้นคือพี่เบิร์ด ภาพนั้นยังติดตา เป็นภาพผู้ชายคนผมกระเซิงมีกระดาษปลิวว่อน สุดท้ายเขาลุกขึ้นมาสู้อีกผมก็เลยคิดว่าถ้าจะเขียนเพลงให้พี่เบิร์ดสักเพลง ก็อยากจะส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังที่กำลังเจอเหตุการณ์เหมือนผมในวันนั้น ก็หวังว่าถ้าเพลงนี้มันจะทำหน้าที่เหมือนที่เพลงเธอผู้ไม่แพ้ ทำได้กับผมในวันนั้น ผมก็จะดีใจมากครับ”

พี่เบิร์ดเป็นคนที่มีพลังและสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นเสมอ ในทางกลับกันต้องมีคนอยากรู้ว่าพี่เบิร์ดเอาพลังเอาแรงบันดาลใจมาจากไหนเยอะแยะ ซึ่งพี่เบิร์ดบอกว่า “แรงบันดาลใจของพี่เบิร์ด คือทุกคนที่อยู่ข้างหน้าพี่เบิร์ด แฟนเพลง คนดูทุกชั้น ไม่ว่าจะแสดงคอนเสิร์ตที่ไหน ทุกคนคือแรงบันดาลใจของพี่เบิร์ดทุกคน ทำให้พี่เบิร์ดมานั่งอยู่ในวันนี้”

ถ้าเปรียบชีวิตเป็นการวิ่ง เส้นชัยของพี่เบิร์ดอยู่ตรงไหน? แฟนคลับคนหนึ่งถามขึ้น

“พี่เบิร์ดใช้ชีวิตบนเส้นทางนี้มานาน พี่เบิร์ดไม่เคยมีจุดสุดท้าย พี่เบิร์ดมีแต่จุดเริ่มต้น” ไม่ใช่คำตอบที่เกินคาดเลย เพราะพี่เบิร์ดทำให้เราเห็นอยู่แล้วว่าพี่เบิร์ดในวัย 60 ยังไม่มีทีท่าจะเหนื่อยล้าและหยุดเดิน แม้ว่าถ้าวัดความสำเร็จพี่เบิร์ดเลยเส้นชัยมาไม่รู้กี่เส้นแล้ว