แพร พิมพิศา ทายาท “จิราธิวัฒน์” บทบาทนักธุรกิจ ท่ามกลางความท้าทาย

กรกรก มาอินทร์ : เรื่อง

แพร-พิมพิศา จิราธิวัฒน์ อีกหนึ่งสาวแฟชั่นนิสต้าแห่งวงการเซเลบริตี้-ไฮโซ ควบตำแหน่งนักธุรกิจสาว ทายาทเซ็นทรัล เธอเป็นที่รู้จักในหลากหลายสถานะ หลายบทบาท หลายคนคงได้ยินชื่อของเธอไม่บทบาทใดก็บทบาทหนึ่ง เพราะสาวสวยคนนี้นอกจากจะเป็นทายาทตระกูลดัง เป็นที่รู้จักในแวดวงสังคม เธอยังเคยมีผลงานผ่านจอแก้ว ไม่ว่าจะเป็นงานโฆษณา ถ่ายแบบ พิธีกร ไปจนถึงร้องเพลง และในบทบาทนักธุรกิจ เธอเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ทั้งเครื่องสำอาง “Boyfriend” และชุดออกกำลังกาย “Girlsnation” ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน

แม้จะสวยและรวยมากมาแต่กำเนิด แต่กว่าจะมาเป็น แพร-พิมพิศา จิราธิวัฒน์ อย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้ เส้นทางของเธอไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่อย่างใด เธอก็ต้องพยายามเรียนรู้ ทำงาน และพิสูจน์ตัวเองมากเหมือนคนอื่น ๆ

แพร-พิมพิศา ลูกสาวคนโตของผู้บริหารโรงเเรมในเครือเซ็นทรัล ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ เเละ ชนัดดา จิราธิวัฒน์ เป็นที่รู้จักมักคุ้นกันดีในเเวดวงเซเลบแถวหน้าของเมืองไทย ซึ่งไม่ว่าจะหยิบจับธุรกิจอะไร ออกงานสังคมที่ไหน มักจะเห็นเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เรื่อย ๆ

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยแบบกับ แพร พิมพิศา ที่จะมาอัพเดตชีวิตช่วงนี้กันอย่างออกรส

แพร เล่าชีวิตตอนนี้ให้ฟังว่า ในช่วง 1-2 ปีมานี้ทำธุรกิจส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เครื่องสำอาง “Boyfriend” ที่เน้นโปรดักต์คัลเลอร์ มีทั้งลิปสติก และบลัชออน ต่อมาได้ทำแบรนด์ชุดออกกำลังกาย “Girlsnation” แม้จะเปิดตัวได้ไม่นาน แต่เจ้าตัวบอกมาว่า “ช่วงนี้บูมและเติบโตได้เรื่อย ๆ เพราะดารา เซเลบ รวมถึงคนทั่วไปเริ่มหันมาสนใจการออกกำลังกายมากขึ้น ทำให้แผนธุรกิจในภายภาคหน้าต้องมุ่งเป้าไปที่การขยายสาขา และเพิ่มฐานลูกค้าออนไลน์มากขึ้น”

ส่วนธุรกิจครอบครัวนั้น ตอนนี้ช่วยงานที่บ้านอยู่ที่ “โพสต์ อินเตอร์เนชั่น” ดูเรื่องสื่อดิจิทัลเป็นส่วนใหญ่

เล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นการก้าวเข้าสู่วงการธุรกิจ แพรเล่าว่า เกิดจากความที่ส่วนตัวไม่อยากทำงานออฟฟิศ เนื่องจากในแต่ละวันทำอะไรเยอะมาก ชอบงานที่สามารถเอางานออกไปทำข้างนอกได้ จึงเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวก่อน

ขาข้างหนึ่งอยู่ฝั่งธุรกิจส่วนตัว ส่วนอีกข้างอยู่ในธุรกิจครอบครัว ความต่างและความยากง่ายของงานต้องมีอะไรให้เปรียบเทียบแน่นอน ซึ่งสาวแพรบอกว่า

“ความยากง่ายมันต่างกันคนละแบบ อย่างธุรกิจส่วนตัวเราเป็นนายตัวเอง ทุกอย่างมาจากการตัดสินใจของเราคนเดียว แต่ของครอบครัว มันจะมีเรื่องความคาดหวังของคนอื่น มีโจทย์ที่ต้องทดสอบ ซึ่งทราบกันดีว่าธุรกิจสื่อตอนนี้มีการแข่งขันกัน” คำตอบมาพร้อมรอยยิ้ม และเล่าต่อไปว่า

“เนื่องจากเรียนจบสถาปัตยกรรมมา ไม่ได้เรียนเรื่องสื่อ จึงนับเป็นความท้าทาย ซึ่งต้องค่อย ๆ ฝึก และต้องฝึกทำงานให้เป็นระบบระเบียบ ตอนเรียนมีแค่เรื่องเกรด แต่พอทำงานจะมีเรื่องตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้อง ตรงนี้เป็นเรื่องที่ยากเหมือนกัน เพราะแพรไม่เคยทำงานออฟฟิศมาก่อน”

“ในส่วนของธุรกิจครอบครัว แพรดูงานสื่อ งานดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นนิตยสารคลีโอ เว็บไซต์แม่และเด็ก ซึ่งส่วนตัวไม่ได้มองว่าเป็นการแบ่งประเภทว่าเราเป็นสื่อ เป็นหนังสือ หรือเป็นแมกาซีน แต่เราทำตัวเป็นครีเอทีฟ พร้อมที่จะปรับตัว สื่อความคิดของเราออกมาในรูปแบบต่าง ๆ มากกว่า”

ถามว่าตอนนี้สามารถพูดได้ไหมว่าเข้าไปช่วยธุรกิจครอบครัวอย่างเต็มตัวแล้ว คำตอบคือ “ยังไม่เรียกว่าเข้าไปช่วยธุรกิจครอบครัวอย่างเต็มตัว เพราะปลายปีนี้ ช่วงเดือนกันยายนมีแพลนจะไปเรียนต่อ 1 ปี ในด้านมาร์เก็ตติ้ง เพราะมองว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งการไปเรียนในครั้งนี้ไม่ได้อยากไปเพื่อเอาวิธีการ หลักการ แต่ไปเพราะอยากเห็นโลกกว้าง ด้วยความที่เรียนโรงเรียนไทยมาตั้งแต่เล็กจนโต จึงอยากได้เรื่องประสบการณ์ เพราะมองว่าเป็นสิ่งสำคัญ”

แน่นอนว่าครอบครัวย่อมมีส่วนสร้างตัวตนของคนเราไม่มากก็น้อย ซึ่งการเป็นทายาทตระกูลธุรกิจอันดับต้น ๆ ของประเทศ ก็ย่อมมีส่วนสร้างความเป็นนักธุรกิจในตัวเธอ แต่ถ้าจะบอกว่าครอบครัวมีส่วนปูทางในการทำธุรกิจโดยตรงหรือเปล่า แพรบอกว่า

“ครอบครัวไม่ได้บอกว่าต้องทำแบบนั้น แบบนี้ ส่วนใหญ่ที่บ้านจะปล่อยตามสบาย เวลามีปัญหาค่อยไปปรึกษา ไม่มีกฎ หรือหลักสูตรตายตัว ส่วนตัวมองว่าของแบบนี้มันสอนกันไม่ได้ ต้องค่อย ๆ ซึมซับ เราเห็นพ่อแม่ทำงานมาทั้งคู่ ก็เรียนรู้จากตรงนั้นมา เวลาคุณพ่อคุณแม่ไปเจอเรื่องอะไรมาก็จะมาเล่าให้ฟัง แพรก็จะเก็บตรงนั้น ทุกวันนี้ยังต้องเรียนรู้อยู่ เพราะการทำธุรกิจไม่มีสูตรตายตัวว่าต้องทำแบบนี้แล้วจะประสบความสำเร็จ มันอยู่ที่ว่าเราจะปรับตัวอย่างไร รับมือกับปัญหาได้ดีแค่ไหน”

ตอนนี้หลายคนอาจจับตามองว่าเป็นเวิร์กกิ้ง วูเเมน แต่เธอว่า “ยังไม่เต็มตัว” เพราะยังต้องทำงานหลายอย่าง มีไปเที่ยวบ้าง สลับกัน ด้วยความที่อยากให้การทำงานเป็นเรื่องสนุก ไม่อยากต้องมานั่งคิดว่า “ต้องเข้าออฟฟิศอีกแล้วเหรอ พรุ่งนี้วันจันทร์แล้วเหรอ”

เห็นเธอทำอะไรหลายอย่าง และเห็นออกงานสังคมบ่อย ๆ ซึ่งการออกงานสังคมนับว่าเป็นอีกกิจกรรมอย่างหนึ่ง ที่ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวกับงานคงไม่ได้ เพราะงานสังคมเป็นแหล่งสะสมคอนเน็กชั่นชั้นดีในการทำธุรกิจ

“แม้ส่วนตัวจะออกงานสังคมไม่บ่อยนัก เรียกว่าออกน้อยกว่าคนอื่นมาก ค่อนข้างครีเอทีฟกับงานที่ไป แต่การออกงานสังคมก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ถือเป็นการเชื่อมคอนเน็กชั่น ได้เจอคนใหม่ ๆ หรือเป็นคู่ค้า ทำธุรกิจด้วยกัน การที่เรารู้จักคนเยอะ ๆ ไม่เสียหายอะไร แต่จริง ๆ แล้วไม่ค่อยเอ็นจอยกับการไปงานขนาดนั้น ไม่ค่อยเปิดเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นรู้ อีกอย่างผู้หญิงเวลาออกงานแต่งหน้า แต่งตัวนาน ไปงานทีมันก็แอบเหนื่อย แต่ยังไงก็ต้องไปบ้าง”

ในอนาคตเราจะได้เห็นธุรกิจใหม่ของเธอหรือไม่นั้น เจ้าตัวยืนกรานหนักแน่นแล้วว่า “ตอนนี้ต้องพักก่อน คือเป็นคนมีความคิดใหม่ ๆ เข้ามา แต่ก็ต้องย้อนดูตัวเองว่าไหวหรือไม่ อีกทั้งปลายปียังมีไปเรียนต่ออีก 1 ปี และหลังจากนั้นจะเรียนคอร์สสั้น ๆ ต่ออีก ธุรกิจใหม่ช่วงนี้ต้องพักก่อน”

แม้จะเกิดมาร่ำรวยแบบเหลือกินเหลือใช้ไปอีกหลายชาติ แต่สาวแพรก็เป็นคนที่วางแผนเรื่อง “เงิน” ไว้อย่างรอบคอบ โดยการเก็บเงินอย่างเป็นระเบียบ แยกบัญชีให้เห็นชัดว่า บัญชีนี้ใช้ บัญชีนี้เก็บ บัญชีนี้เอาไว้เที่ยว และยังมีการปันเงินไปซื้อกองทุน ซื้อประกันชีวิตเอาไว้ด้วย


แม้พื้นฐานครอบครัวดี เเต่เธอก็ไม่ได้นิ่งเฉยสุขสบายบนกองเงินกองทองไปวัน ๆ เธอทำงาน ศึกษาหาความรู้ พิสูจน์ตัวเอง ซึ่งก้าวเดินในชีวิตของสาวสวยตระกูลดังคนนี้น่าติดตามมาก ๆ