‘ขรรค์ชัย บุนปาน-มานิจ สุขสมจิตร’ รับโล่เกียรติยศคน นสพ. จากสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ‘ชวน’ ยกย่อง ยืนหยัดมั่นคง มีบทบาทเป็นผู้นำเปลี่ยนแปลงสื่อมวลชน
วันที่ 24 ธันวาคม 2566 ที่หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต ถนนรัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ สมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงานมอบรางวัล ‘เกียรติยศคนหนังสือพิมพ์’
พร้อมมอบรางวัลเชิดชูเกียรติองค์กรเครือข่าย นสพ. ที่ทำประโยชน์ต่อองค์กรวิชาชีพและเพื่อการศึกษา, มอบโล่ผู้สนับสนุนสมาคม และแถลงข่าวการจัดประกวดรางวัล ‘พาดหัวข่าวสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม ประจำปี 2567’ โดยมี นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานรัฐสภา เป็นประธาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานมีบุคคลในแวดวงสื่อมวลชนทยอยเดินทางเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก โดยมีกรรมการบริหารสมาคมหนังสือพิมพ์ฯ นำโดย นายนคร วีระประวัติ นายกสมาคม ให้การต้อนรับ
ต่อมาเวลา 14.00 น. มีการฉายวีดีทัศน์ประวัติความเป็นมาของสมาคมหนังสือพิมพ์ซึ่งก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2484 มีพระยาปรีชานุสาสน์ (เสริญ ปันยารชุน) เป็นนายกสมาคม คนแรก มีที่ตั้งอยู่บนถนนบำรุงเมือง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
จากนั้น นายนคร วีระประวัติ นายกสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวรายงาน ระบุถึงแนวทางการพัฒนาฟื้นฟูกิจการของสมาคมในด้านต่าง ๆ อาทิ บูรณะซ่อมแซมอาคารที่ชำรุดทรุดโทรม รวมถึงปรับภูมิทัศน์พื้นที่โดยรอบ อีกทั้งเตรียมปรับปรุงพิพิธภัณฑ์หนังสือพิมพ์ และปรับปรุงห้องสมุดชิน โสภณพนิช เป็นต้น
ต่อมา เป็นการแนะนำกรรมการบริหารสมาคม ชุดปัจจุบัน (2566-2569) จากนั้น นายธานินทร์ อินทรเทพ ศิลปินชื่อดัง ขับร้องบทเพลง ‘คนหนังสือพิมพ์’ ผลงานการประพันธ์ของ นายพยงค์ มุกดา เมื่อปี 2505
เวลา 14.20 น. เข้าสู่พิธีการมอบรางวัล ผู้ได้รับรางวัล ‘เกียรติยศคนหนังสือพิมพ์’ ได้แก่ นายขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และนายมานิจ สุขสมจิตร บรรณาธิการอาวุโส นสพ.ไทยรัฐ
จากนั้น มอบรางวัลแก่ 5 องค์กรองค์กรวิชาชีพและเพื่อการศึกษา ได้แก่ 1.มูลนิธิไทยรัฐ 2.มูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูล (เครือเดลินิวส์) 3.มูลนิธิ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ 4.มูลนิธิอิศรา อมันตกุล และ 5.มูลนิธิแสงชัย สุนทรวัฒน์
ต่อมา นายชวน กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล และปาฐกถาความตอนหนึ่งว่า ตนขอชื่นชมสมาคม ที่จัดงานนี้ขึ้นและมอบรางวัล ‘เกียรติยศคนหนังสือพิมพ์’ เป็นครั้งแรก ตนเคารพในความเป็นคนหนังสือพิมพ์ของ นายขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และนายมานิจ สุขสมจิตร บรรณาธิการอาวุโส นสพ.ไทยรัฐ
ซึ่งตนรู้จักทั้ง 2 ท่านเป็นการส่วนตัว โดยนายมานิจเป็นเพื่อนนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เห็นบทบาทกันมาตั้งแต่ครั้งนั้น ขณะที่นายขรรค์ชัย เป็นรุ่นน้องมหาวิทยาลัยศิลปากร อีกทั้งตนยังเคยเขียนเรื่องสั้น ‘เย็นลมป่า’ ลงใน นสพ.ของนายขรรค์ชัย ผู้ซึ่งมีบทบาทการเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงด้านสื่อมวลชนในหลายเรื่อง
“ผมเป็นสักขีพยานว่าทั้ง 2 ท่านควรได้รับความเคารพนับถืออย่างยิ่ง น้อยคนที่จะยืนหยัดมั่นคงอยู่ได้ ต้องขอแสดงความยินดีอีกครั้ง” นายชวน กล่าว
นายขรรค์ชัย กล่าวว่า ขอขอบคุณสมาคมหนังสือพิมพ์ฯ ที่ให้เกียรติ ตนมีความศรัทธาในการเป็น ‘นักหนังสือพิมพ์’ ตั้งแต่เป็นนักข่าวครั้งแรกในช่วงปลายปี 2513 ไม่เคยมีอาชีพอื่น วันนี้ขอเป็นผู้แทนของทุกคนในเครือ ‘มติชน’ ในการรับมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้
ด้านนายมานิจ กล่าวว่า รางวัลนี้คือรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ ในฐานะคนทำงาน ไม่ได้คาดหวังถึงการยกย่อง แต่ถือเป็นกำลังใจในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยฯ ซึ่งเป็นสมาคมเก่าแก่อย่างมาก
“รางวัลนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนทำหนังสือพิมพ์อาชีพ ผมทำงานหนังสือพิมพ์มากว่าค่อนชีวิต สิ่งที่ภูมิใจคือร่วมต่อสู้ให้ได้มาซึ่งเสรีภาพในการแสดงออก เพื่อที่ประชาชนจะได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน สำหรับการใช้วิจารณญาณในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิต และการเมือง ถ้าสื่อไม่มีเสรีภาพเสนอข่าวด้านเดียว ประชาชนก็จะมีข้อมูลเพียงด้านเดียว” นายมานิจ กล่าว
ทั้งนี้ นายขรรค์ชัย บุนปาน เกิดเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2487 จบการศึกษาจากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร มีความสนใจในงานสิ่งพิมพ์และวรรณกรรมตั้งแต่วัยเยาว์ ส่งผลงานตีพิมพ์ในนิตยสารหลายฉบับตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา
ในช่วงปลายปี 2513 นายขรรค์ชัย เข้าทำงานเป็นนักข่าว นสพ.สยามรัฐ ได้เงินเดือน 1,000 บาท อย่างไรก็ตาม ต่อมากลับถูกไล่ออกพร้อมนายสุจิตต์ และนายเสถียร จันทิมาธร เนื่องจากติดร่างแหข้อหา ‘คอมมิวนิสต์’
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้นายขรรค์ชัย ตัดสินใจดำเนินกิจการหนังสือพิมพ์ของตนเอง โดยมองว่าต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากเดิมที่นักข่าวขณะนั้นไม่รู้กระบวนการบริหารจัดการหนังสือพิมพ์ทั้งระบบ จึงเริ่มจากการเปิด ‘โรงพิมพ์พิฆเณศ’ ย่านแพร่งสรรพศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2515 รับจ้างพิมพ์หนังสือทุกชนิด
ระหว่างนั้น นายกำพล วัชรพล ให้คนมาชักชวนนายขรรค์ชัยไปเขียนข่าวสังคมหน้า 4 ไทยรัฐ นายขรรค์ชัย จึงหันไปทำงานประจำที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ใช้นามปากกา ‘หวานเย็น’ พร้อม ๆ กับงานโรงพิมพ์พิฆเณศ
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 นายขรรค์ชัย เข้าเฝ้า พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ‘พระองค์วรรณฯ’ เพื่อทูลขอหัวหนังสือพิมพ์ ‘ประชาชาติ’
จากนั้น วันที่ 15 พฤศจิกายน 2516 ‘ประชาชาติรายสัปดาห์’ วางแผงครั้งแรก ก่อนขยับขยายเป็น ‘ประชาชาติรายวัน’, ‘รวมประชาชาติรายวัน’ และ ‘ประชาชาติธุรกิจ’
ต่อมา ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ ‘มติชนรายวัน’ โดยเป็นบรรณาธิการคนแรก วางแผงฉบับปฐมฤกษ์เมื่อวันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2521 ราคา 1 บาท 50 สตางค์ มี 8 หน้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อพ.ศ. 2532 ขณะที่นายขรรค์ชัยมีอายุเพียง 45 ปี
ปัจจุบัน ดำเนินกิจการเข้าสู่ปีที่ 47 ภายใต้สโลแกน ‘หนังสือพิมพ์คุณภาพ เพื่อคุณภาพของประเทศ’
นายขรรค์ชัย ยังก่อตั้ง ‘มติชนสุดสัปดาห์’ เมื่อ พ.ศ. 2523 โดยเป็นบรรณาธิการคนแรก ก่อตั้ง นสพ.ข่าวสด เมื่อ พ.ศ. 2534 รวมถึงนิตยสารต่าง ๆ ในเครือ ทั้งฉบับพิมพ์และออนไลน์ ได้แก่ มติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม, เส้นทางเศรษฐี และเทคโนโลยีชาวบ้าน รวมถึงสำนักพิมพ์มติชน
กว่า 50 ปีบนเส้นทาง ‘คนหนังสือพิมพ์’ นายขรรค์ชัย สร้างผลงานมากมาย จาก ‘นักข่าว’ ลงพื้นที่ภาคสนาม สู่ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่ขับเคลื่อนสังคมมาจนถึงปัจจุบัน, ‘บรรณาธิการ’ ที่บุกเบิกสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในวงการสื่อ, ‘คอลัมนิสต์’ ที่มีมากกว่า 10 นามปากกา มีผลงานรวมเล่มมากมาย
ในวัย 79 ปี นายขรรค์ชัยยังคงมีผลงานโคลงวิพากษ์สังคมการเมือง ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ รวมถึงปรากฏตัวในรายการ ‘ขรรค์ชัย-สุจิตต์ ทอดน่องท่องเที่ยว’ ทุกวันพฤหัสบดีสุดท้ายของเดือน ผ่านเฟซบุ๊กมติชนออนไลน์, ข่าวสด, ศิลปวัฒนธรรม และยูทูบมติชนทีวี ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์-โบราณคดีเข้าสู่ปีที่ 8 ในปี 2567 โดยได้รับความนิยมอย่างมาก
นายขรรค์ชัย นำพาเครือมติชน ฝ่าวิกฤตการณ์ต่าง ๆ นานัปการ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ การดิสทรัปต์ด้านเทคโนโลยีในยุคเปลี่ยนผ่านจากกระดาษสู่ออนไลน์ ก้าวผ่านวิกฤตนานัปการอย่างภาคภูมิ ด้วยจุดยืนที่ไม่เคยแปรเปลี่ยน ยังยืนหยัดเคียงข้างประชาธิปไตย ไม่หวั่นไหวแม้อยู่ท่ามกลางความเห็นต่าง โดยเน้นย้ำว่า ‘ในวันที่โลกเปลี่ยน มติชนยังมีทางสายเดียว คือต้องเป็นไปเพื่อคนส่วนใหญ่’