
แม้กิจกรรมในเดือนแห่งความรัก “Knowledge Book Fair 2024 เทศกาลอ่านเต็มอิ่ม” ที่จัดโดย สำนักพิมพ์มติชน และพันธมิตรจาก 16 สำนักพิมพ์ ณ มิวเซียมสยาม จะจบสิ้นลงไปแล้ว แต่กลิ่นอายของความประทับใจ และความรู้สึกดี ๆ ยังคงมีอยู่
โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ๆ ในวัยใกล้กันทั้งหญิงและชาย ทั้งชายชาย และหญิงหญิง ต่างเก็บเอาเรื่องราวของการทอล์กในวันนั้น ภายใต้หัวข้อ “BookHealing : ทำไมฉันจึงเป็นทุกข์ ขณะที่ทุกคนก็มีความสุขกันดี” กลับไปคิด กลับไปทำ เพื่อชีวิตที่ไปต่อได้อย่างมีความสุข
เขาและเธอคือ ผู้ปลดล็อกจิตใจของผู้คน
การที่สำนักพิมพ์ broccoli book ชวนคนให้มาอ่านหนังสือเล่มนี้ย่อมมีความหมาย นอกเหนือจากการตั้งชื่อหนังสือแบบยาว ๆ ที่ดูแปลกไปจากเล่มอื่นแล้ว จำนวนเนื้อหา 309 หน้าล้วนมีคุณค่าทางใจ ที่คนตั้งใจอ่านจะรู้ว่า “ทุกปัญหามีทางออก” และ “ทุกชีวิตล้วนมีความหมาย”
“ทำไมฉันจึงเป็นทุกข์ ขณะที่ทุกคนก็มีความสุขกันดี” เป็นหนังสือที่เขียนโดย “คิม ซัง-จุน-Kim Sang-Jun” หมอจิตแพทย์ที่ได้กลั่นประสบการณ์เป็นตัวอักษร ถ่ายทอดรายละเอียดกลวิธีในการทำความเข้าใจและจัดการกับ “อารมณ์” ความรู้สึกที่ไม่พึงประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อให้คนนั้น ๆ สั่นไหวหรือหวั่นไหวน้อยลง ด้วยวิธีคิดแบบไม่ฝืน ให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ
เหมือนให้รู้ว่า “ทำไมเราจึงโกรธ ทำไมเราจึงเกลียด ทำไมเราจึงรู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ”
เพราะพฤติกรรมคนส่วนใหญ่จะพยายามกำจัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไป ด้วยการละเลยหรือเบี่ยงเบนความสนใจตัวเอง เพื่อจะได้เลิกนึกถึง บางครั้งก็เลือกที่จะมองข้ามมันไปด้วยความหวังว่า
“เมื่อเรากำจัดความคิดแง่ลบเหล่านั้นออกไปได้ จะทำให้เรากลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ”
ซึ่งผิดหมด เพราะในความเป็นจริง ความรู้สึกทั้งแง่บวก-แง่ลบ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเติบโตของตัวเราเอง เราคงโตไม่ได้ ถ้าเราไม่ทำความรู้จักตัวเอง ผ่านความเข้าใจความรู้สึกที่เป็นอยู่ ณ ขณะนั้น ๆ
หนังสือขนาดกะทัดรัดเล่มนี้ จึงเปรียบเสมือน “คลินิกรักษาใจ” ของผู้คนที่เขา หรือ “คุณหมอคิม ซัง-จุน” พร้อมจะคอยเยียวยา และร่วมเดินไปด้วยกัน ผ่านการเรียนรู้ของเรื่องราวและภาพยนตร์ที่ให้บทเรียนชีวิต โดยมี “สิรีภรณ์ สงวนสิน” เป็นผู้แปล
ขณะที่ “ดุจดาว วัฒนปกรณ์” ผู้ก่อตั้ง บริษัท Empathy Sauce และนักจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหว ได้ให้เกียรติเป็นวิทยากร และสวมบทในฐานะ “ผู้อ่าน” หนังสือเล่มนี้เหมือนกัน
เธอสรุปว่า ทุกชีวิต ทุกวัย ทุกครอบครัว ทุกคู่ และทุกคน ต่างมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น แต่จะต่างบริบท ซึ่งการจมดิ่งกับความทุกข์ที่เหมือนอยู่ในเหวลึก เหมือนเราอยู่ก้นเหว ไม่มีแรงเดินไปข้างหน้า ไม่มีใครจับมือก้าวไปด้วยกัน ขาดแรงบันดาลใจ เมื่อเรารู้สึกถึงอารมณ์เหล่านี้ เราต้องจัดการใจของเรา หาความสุข หาแรงบันดาลใจให้เจอ
อย่างคู่สามีภรรยา คนหนึ่งอาจอยากเลิก อีกคนไม่อยากเลิก การใช้ชีวิตก็มีตำหนิ กระทบกระแทก ก็มีคำถามว่า เราจะจัดการความสัมพันธ์ให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร
เหมือนแม่ลูก บางทีใช้คำพูดที่ไม่ดีต่อกัน จะพูดให้ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ เพราะความสัมพันธ์รอบตัวมีผลต่อสุขภาพจิต ตามมาด้วยการงาน การเงิน ฉะนั้นความสัมพันธ์ หรือประสบการณ์ร่วม ต้องใช้ “การสื่อสาร” เข้ามาใช้ จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
อย่างประโยค “โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า” ก็จริงนะ
“แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้เรามีสติ และอยู่กับปัจจุบันจะดีที่สุด”
และที่สุดของที่สุดคือ “เมื่อเกิดปัญหา ให้ถอยตัวเองออกมา 1 ก้าว แล้วนั่งสมาธิ เราจะมีชีวิตเหมือนเริ่มใหม่”
ด้วยวาจาที่เด็ดเดี่ยว แววตาที่มั่นคง และรอยยิ้มที่ให้กำลังใจของดุจดาว ทำให้บรรยากาศของการทอล์กในวันนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีความหวัง เป็นความอิ่มเอมใจที่สัมผัสได้
เพราะการแลกเปลี่ยนมุมมอง การส่งต่อคำถาม-คำตอบ ถือว่า เธอเป็นอีกผู้หนึ่งที่ช่วยปลดล็อกจิตใจให้กับผู้คนที่ตั้งใจมาฟังเธอพูด เพื่อกะเทาะคำถามบางคำถามที่คาใจ นับเป็นการทอล์กที่มีคุณภาพ เช่นเดียวกับงานเขียนของคุณหมอเจ้าของหนังสือ
ขอบเขตและการปกป้องหัวใจตัวเอง
ดุจดาวเปรียบเทียบว่า การใช้ชีวิตของมนุษย์ก็เลือกที่จะรับรู้ด้วยการสร้างขอบเขตของตัวเอง ซึ่งเปรียบเสมือนพื้นที่ปลอดภัยเป็นลูกบอลกลม ๆ ใครพูดอะไรที่เราไม่ชอบ เหมือนคำพูดนั้นจะถูกกระทบขอบของลูกบอล ไม่ถึงตัว แต่ไม่ได้หมายความว่า เราเพิกเฉย แต่เราเลือกที่จะรับรู้ มนุษย์ชอบยึดคำพูด ถ้าชอบก็แชร์ ไม่ชอบก็ชัง
มนุษย์ที่ดีคือทำตัวไม่เดือดร้อนใคร เช่น วันนี้เราแต่งตัวตามสไตล์ที่เราชอบ มีคนทัก ไม่ชอบเลยแต่งตัวแบบนี้ เราก็ตอบได้ว่า ไม่ชอบไม่เป็นไร แต่เราชอบ สิ่งเหล่านี้คือการปกป้องหัวใจเราเอง เราต้องกำหนดเอง
ในทางกลับกัน ไม่ใช่เราคนเดียวที่มีลูกบอลกัน บางทีตัวเราก็ชอบเขวี้ยงลูกบอลใส่คนอื่น ใจเขาใจเรา Space Management เรื่องนี้สำคัญ
หรือตัวอย่างบางครอบครัว บางคนโตมาด้วยความไม่มั่นใจ เพราะมีเสียงตะโกนจากเฮลิคอปเตอร์เต็มไปหมด เหมือนเสียงพ่อแม่ คนนี้บอกงี้ คนนั้นบอกงั้น อันนี้ไม่ได้ อันนี้ไม่ใช่ จนเราเบลอ ขาดความมั่นใจ โตมากับความกลัว กลัวพลาด แต่ขอให้จำไว้ “พลาดแล้วเราก็ไม่ตายนี่หว่า ไม่มีใคร ไม่เคยพลาด”
อย่าถอย อย่าล้มเลิก อย่ายึดติดกับความสมบูรณ์แบบ ขอให้ยอมรับตัวเราเอง มั่นใจตัวเอง ความสมบูรณ์แบบเป็นแค่แนวคิด เป็นแค่มุมมอง เป็นแค่ไอเดีย ให้เราเดินไปทางแบบนั้น ถ้าตั้งสมการให้งานหรือชีวิตมีความสมบูรณ์แบบก็ทำไปเถอะ
แต่ที่สุดแล้ว ความงดงามภายในจิตใจ ความเป็นธรรมชาติ คือจุดเริ่มต้นของมนุษย์ ดุจดาวเชื่อว่า โลกจะน่าอยู่มากขึ้น ถ้าคนเราสื่อสารกันด้วย Empathy
ยอมรับว่า หนังสือเล่มนี้ เปลี่ยนมุมมองได้ดี อ่านแล้วรู้สึกต่อความคิดและอารมณ์ของตัวเอง มีการอธิบาย ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม จับต้องได้
เช่น มีการยกตัวอย่างหนังฮอลลีวู้ดเรื่อง The Shawshank Redemption เนื้อแท้พระเอกที่แหกคุกเป็นคนมี Empathy มีความสามารถ มุ่งมั่น นุ่มนวล อดทน และนิ่งสงบ จนเกิดมิตรภาพกับเพื่อนร่วมทุกข์ในคุก เป็นเวลาถึง 20 ปีที่เขาใช้ค้อนหินสกัดหินทีละนิด จนทะลุกำแพงหลบหนีออกทางท่อระบายน้ำ
เพราะเขาได้รับความไม่เป็นธรรมที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าภรรยา แต่เขาก็ไม่เคยตัดพ้อต่อว่าโลกใบนี้ถึงความไม่ยุติธรรม แต่กลับยอมรับในทุกสิ่งอย่างที่เป็น ทั้งถูกเอาเปรียบ ถูกทำร้าย ถูกคุกคามทางเพศอย่างน่าสะอิดสะเอียน
นี่คือตัวอย่างของการทำใจให้สงบนิ่ง พูดง่ายแต่ทำได้ยาก แต่ควรต้องฝึกต้องทำ ไม่งั้นจะควบคุมความคิดและอารมณ์ของเราไม่ได้ แม้การยอมรับความจริงในแบบที่เป็นจะไม่ใช่เรื่องง่าย
ในทุกบททุกตอนจึงสอนเราว่า เมื่อรับบทเป็นคนอื่น เราจะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ว่าแล้ว “ทำไมฉันจึงเป็นทุกข์ ขณะที่ทุกคนก็มีความสุขกันดี” จึงเป็นหนังสือที่จะทำให้เรารู้จักตัวเองและรู้จักคนรอบข้างได้มากขึ้น