
“Happy Journey with BEM 2024 มรดกสยาม ๓ สมัย” ผศ.ดร.พีรศรี โพวาทอง นำชมนิทรรศการ “เอกสารล้ำค่าจารึกสยาม” แบบเอ็กซ์คลูซีฟ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ผู้ร่วมกิจกรรมรับข้อมูลเต็มอิ่ม-อยากให้จัดอีก
วันที่ 16 มิถุนายน 2567 บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ให้บริการทางพิเศษและรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง ร่วมกับ กระทรวงวัฒนธรรม, กรมศิลปากร, สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร ร่วมด้วย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
อาสาพาลูกค้าขึ้นรถไฟฟ้าเที่ยวงาน “มรดกสยาม ๓ สมัย” แกะรอยประวัติศาสตร์แบบอินไซด์ ‘ทวารวดี-สุโขทัย-อยุธยา’ เพื่อเป็นสื่อกลางพาลูกค้าขึ้นรถไฟฟ้าเที่ยวต่อเนื่องปีที่ 3 กับ “Happy Journey with BEM 2024 ในธีม มรดกสยาม ๓ สมัย” โดยงานจะจัดขึ้นตลอดระยะเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 14-16 มิถุนายน 2567 เวลา 09.00-20.00 น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย
หนึ่งกิจกรรมไฮไลต์ของวันนี้ คือ Exclusive Talk & Walk ในการนำชมพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย 2567 เรื่อง “เอกสารล้ำค่าจารึกสยาม” โดย “ผศ.ดร.พีรศรี โพวาทอง” อาจารย์ประจำภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
สำหรับ “เอกสารล้ำค่าจารึกสยาม” เป็นนิทรรศการที่จัดขึ้นเพื่อมุ่งหวังให้ผู้คนทั่วไปได้เข้ามารู้จัก เรียนรู้ และตระหนักถึงคุณค่าของเอกสารสำคัญที่ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกรมศิลปากรมากยิ่งขึ้น ผ่านการ ทัศนาเอกสารต้นฉบับทรงคุณค่าทั้งหมด 6 กลุ่ม ที่ล้วนแต่โดดเด่นทั้งในเชิงเนื้อหา รูปลักษณะของ เอกสาร และเทคนิคการผลิต ประกอบกับวัตถุจัดแสดงหลากหลายประเภทที่เกี่ยวเนื่องกับเอกสาร เหล่านั้น อันจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและขยายภาพเอกสารต้นฉบับให้ชัดเจนมากขึ้น
โดยบรรยากาศระหว่างการนำชม ดำเนินไปอย่างเป็นกันเอง และมีผู้สนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ตลอดจนตั้งคำถาม เเลกเปลี่ยนความรู้ และข้อคิดเห็นต่าง ๆ กับ ผศ.ดร.พีรศรี อย่างต่อเนื่องจนจบกิจกรรม
ผศ.ดร.พีรศรี กล่าวว่า เอกสารและหลักฐานต่าง ๆ ที่นำมาจัดแสดงเป็นทรัพยากรของหอสมุดแห่งชาติ และหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งมาจากหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาก่อนหน้า คือ “หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร” ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยงานหอจดหมายเหตุนั้นมีมาตลอด โดยพระดำริของสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ที่ให้รวบรวมเอกสาร สมุดไทย ภาพถ่าย และแผนที่ต่าง ๆ
กรมศิลปากรจึงได้รวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เคยอยู่ด้วยกัน แต่ถูกแยกไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เนื่องจากการจัดเก็บและวิธีใช้งานที่ต่างกันมานำเสนอ ซึ่งมีทั้งเอกสารโบราณ เอกสารสมัยใหม่ และศิลปวัตถุของสำนักพิพิธภัณฑ์เพื่อให้มีสีสัน และชีวิตชีวา มากกว่าการเดินชมแค่แผ่นกระดาษ
ภายในพระที่นั่งพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ได้ถูกออกแบบส่วนจัดแสดงด้วยวัสดุสีขาวเหมือนกระดาษ เพื่อสะท้อนถึงการเรียนรู้ด้านเอกสารและบันทึกที่เป็นสมบัติของชาติ ซึ่งสิ่งที่เก่าแก่ที่สุดคือศิลาจารึกหลักที่ 1 ในสมัยสุโขทัย ที่เป็นการจดบันทึกลงไปบนแผ่นหิน
โดยส่วนจัดแสดงจะเเบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 โซน ประกอบด้วย จารจารึก บันทึกสยาม, แผนภูมิของแผ่นดิน, นิติสารเมื่อเพรงกาล เล่าขานประวัติศาสตร์ไทย, เมื่อแรกมีการพิมพ์, ต้นร่างสร้างเมือง เรื่องรองศิลปกรรม และด้วยความทรงจำอันงดงามและความคิดถึง
ผศ.ดร.พีรศรี กล่าว่า การจัดแสดงมีตั้งแต่การจดบันทึกบนศิลาจารึกไปจนเป็นสมุดไทยต่าง ๆ ตลอดจนแผนที่ ตราประจำจังหวัดซึ่งสะท้อนถึงการก่อรูปและรับรู้เรื่องภูมิศาสตร์และด้านประวัติศาสตร์ของประเทศเรื่อยมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์
โดยจะเห็นการอยู่รวมกันของหลักฐานเก่าและของใหม่ในตลอดการจัดแสดงทั้ง 6 โซน ซึ่งพยายามให้ผู้เข้าชมได้เห็นถึงความต่อเนื่องของภาษา และบันทึกในการบันทึกประวัติศาสตร์ของชาติ วรรณกรรม ตลอดจนสภาพสังคม ผ่านสื่อต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ทั้ง 6 โซนผู้เข้าชมจะได้เห็นสมุดไทยทั้งดำและขาว ที่ทำจากกระดาษและเยื่อข่อย ซึ่งเกิดขึ้นหลังการบันทึกศิลาจารึก เป็นต้น
ผศ.ดร.พีรศรี ได้ยกตัวอย่างถึง สมุดไทยขาว “นันโทปนันทสูตรคำหลวง” วรรณคดีพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา ซึ่งเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร (เจ้าฟ้ากุ้ง) ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2279 ว่า จะเห็นความประณีต และความหลากหลายทางการใช้ภาษา
โดยมีอักษรสีแดงที่หมายถึงภาษาบาลี เนื่องจากต้นเรื่องเป็นคัมภีร์ทางศาสนา ส่วนสีดำเป็นตัวอักษรไทยย่อ ที่พระองค์ได้ทรงอรรถาธิบาย ด้วยลายมือที่ประณีต
นอกจากนี้ยังมีชื่อบุคคลสำคัญซึ่งใช้สีทอง สะท้อนให้เห็นถึงความประณีตและซับซ้อนในวิธีคิดของคนไทย และความต่อเนื่องของตัวอักษร ซึ่งอักษรไทยย่อได้ถูกใช้มาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
“จริง ๆ แล้วเรามีหลักฐานประเภทนี้เยอะกว่านี้มาก ๆ แต่ด้วยภัยสงคราม และความชื้น หรืออะไรต่าง ๆ ทำให้ถูกทำลายลงไปมาก และความยากอีกอย่างคือการทำสำเนา เช่น สมุดไทยที่มีการคัดลอกในปีแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มีลักษณ์คล้ายชอล์กเขียนบนพื้นกระดาษสีดำ หากใช้มือจับก็แทบจะเลือนหายไป ดังนั้น ของที่มีค่ามาก จึงถูกสแกนคอมพิวเตอร์เก็บไว้”
นอกจากนี้ ในส่วนจัดแสดงยังมีการจัดแสดงแผนที่ ซึ่งมีความสำคัญมากในสมัยช่วงรัชกาลที่ 4 ที่ตะวันตกเริ่มเข้ามาล่าอาณานิคมในภูมิภาคนี้ โดยอุปกรณ์ที่สำคัญมากในการต่อสู้ คือ แผนที่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของภาครัฐด้วย ตลอดจนบริบทของการปฏิรูปการปกครอง และบริหารราชการแผ่นดินของรัชกาลที่ 5 ซึ่งจะนำไปสู่การตั้งมณฑลต่าง ๆ ในเวลาต่อมา
อีกไฮไลต์คือการจัดแสดง ประมวลกฎหมายตราสามดวง ซึ่งเป็นสมุดไทยขาวสมัยรัชกาลที่ 1 เกิดจากการนำกฎหมายเก่าในสมัยอยุธยามาชำระและเขียนขึ้นมาใหม่
ความสำคัญคือเป็นหมุดหมายของการศาลและการยุติธรรมของประเทศไทย นอกจากทางกฎหมายแล้วยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้วย เนื่องจากมีการพูดถึงชีวิตผู้คน สถาปัตยกรรม ภาษี ตลอดจนกฎมณเฑียรบาล และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทั้งนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้จัดแสดงส่วนที่มีการประทับตราสามดวงให้ชมด้วย นั่นคือ ตราคชสีห์ ราชสีห์ และบัวแก้ว รวมทั้งพัดตราทั้งสามที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 มาจัดแสดงร่วมด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต่อเนื่องตั้งแต่รัชกาลที่ 1 มาถึงรัชกาลที่ 5 และในปัจจุบัน กระทรวงกลาโหมก็ยังใช้ตราคชสีห์ และกระทรวงต่างประเทศก็ยังใช้ตราบัวแก้วอยู่เช่นกัน
อีกไฮไลต์ คือ สนธิสัญญาเบาว์ริงฉบับจริง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งส่งผลให้สยามได้เข้าสู่โลกการค้าเสรีในสมัยนั้น เดิมทีสนธิสัญญาเบาว์ริงฉบับจริง เก็บรักษาอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศ ก่อนจะยกให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติดูแลต่อ นอกจากนี้ยังมีการสแกนฉบับจำลองอยู่ข้างกันให้ผู้เข้าชมได้อ่าน ตลอดจนสนธิสัญญอื่น ๆ ในประเภทเดียวกันให้ได้รับชมด้วย ผศ.ดร.พีรศรี กล่าว
อยากให้จัดอีก
ด้าน “นายยอดวิทย์ กาญจนการุณ” หนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรม กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า รู้สึกประทับใจมากที่ได้มาร่วมกิจกรรมในวันนี้ ทั้งในส่วนของการบรรยายและการจัดแสดง
โดยวิทยากรสามารถอธิบายได้อย่างละเอียดและเน้นจุดสำคัญ ทำให้ได้เห็นถึงมุมมองของเอกสารโบราณ และเอกสารต่าง ๆ ซึ่งอยากให้จัดกิจกรรมในลักษณะนี้อีก
สำหรับการเดินทางมาร่วมงานที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ถือว่าสะดวกสบายมาก โดยตนเองได้นั่งรถไฟฟ้า MRT มาลงยังสถานีสนามไชย
ต้องขอขอบคุณ BEM ที่จัดกิจกรรมดี ๆ ในลักษณะนี้ และอยากให้จัดอีก เพราะเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวในรูปแบบตามเเนวเส้นทางรถไฟฟ้า ซึ่งสะดวกจริง ๆ
“แถบนี้หาที่จอดรถยาก เพราะฉะนั้นการที่เราได้นั่งรถไฟฟ้ามา มีระบบขนส่งสาธารณะ เป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ และสะดวกมาก ๆ” นายยอดวิทย์ กล่าว