พลัง “สู้โว้ย” กีฬายกน้ำหนักไทย

ฟ่าง-ธีรพงศ์ ศิลาชัย
ฟ่าง-ธีรพงศ์ ศิลาชัย (ภาพ AFP)

อีกหนึ่งความสุขของคนไทย ในโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อช่วงค่ำคืนวันที่ 7 ต่อเนื่องก่อนเช้าวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา คือ เหรียญเงินจากกีฬายกน้ำหนักชาย และเหรียญทองแดงจากยกน้ำหนักหญิง

เดิมการแข่งขันกีฬายกน้ำหนักในโอลิมปิกมีเฉพาะประเภทชาย โดยประเทศไทยส่งนักกีฬายกน้ำหนักร่วมแข่งขันครั้งแรกในปี 1964 ที่กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น และส่งเข้าร่วมในปี 1968, 1972, 1976, 1992 และ 1996 แต่ยังไม่เคยสัมผัสเหรียญรางวัลใด ๆ

จนกระทั่งในโอลิมปิก 2000 ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ที่การแข่งขันกีฬายกน้ำหนักหญิงได้ถูกบรรจุเข้าในโปรแกรมการแข่งขันครั้งแรก และ “เกษราภรณ์ สุตา” ได้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของกีฬายกน้ำหนักไทยในโอลิมปิก ด้วยการประเดิมคว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันรุ่น 58 กิโลกรัม นับเป็นทั้งเหรียญแรกของกีฬายกน้ำหนักไทย และเหรียญแรกของผู้หญิงไทยในโอลิมปิก

ประกายความหวังที่จุดขึ้นโดยเกษราภรณ์ ได้เป็นแรงผลักดันให้อีก 4 ปีต่อมา “อุดมพร พลศักดิ์” หรือ “น้องอร” ได้ตะโกนคำว่า “สู้โว้ย” ลั่นสนามการแข่งขันกีฬายกน้ำหนักรุ่น 53 กิโลกรัม ในโอลิมปิกเกมส์ 2004 ณ กรุงเอเธนส์ สาธารณรัฐเฮลเลนิก ก่อนคว้า “เหรียญทอง” จากการแข่งขันดังกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

นอกจากน้องอรแล้ว “ร้อยเอกหญิงปวีณา ทองสุก” ยังคว้าเหรียญทองเหรียญที่สองจากกีฬายกน้ำหนักรุ่น 75 กิโลกรัมอีกเช่นกัน ขณะที่ไทยยังได้เหรียญทองแดงจากกีฬายกน้ำหนักอีก 2 เหรียญ โดย “เรือตรีหญิงอารีย์ วิรัฐถาวร” และ “วันดี คำเอี่ยม” อีกด้วย นับเป็นประวัติศาสตร์ของวงการกีฬายกน้ำหนักหญิงที่เข้าร่วมโอลิมปิก 2 ครั้ง แต่สามารถคว้าเหรียญให้ประเทศไทยได้มากถึง 5 เหรียญ

ผลจากความสำเร็จของนักยกน้ำหนักหญิงไทยในโอลิมปิกเกมส์ 2004 เมื่อนับรวมกับเหรียญทองของ “มนัส บุญจำนงค์” นักกีฬามวยสากลสมัครเล่น ทำให้ในปีนั้นทีมชาติไทยประสบความสำเร็จด้วยการคว้า 3 เหรียญทอง ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยได้เหรียญทองมากกว่า 1 เหรียญ

Advertisment

สำหรับโอลิมปิกเกมส์ 2008 ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศไทยคว้าเหรียญจากกีฬายกน้ำหนักมาทั้งสิ้น 3 เหรียญ โดย “ร้อยตรีหญิงประภาวดี เจริญรัตนธารากุล” ได้เหรียญทองจากกีฬายกน้ำหนักรุ่น 53 กิโลกรัม ขณะที่ “เพ็ญศิริ เหล่าศิริกุล” และ “วันดี คำเอี่ยม” ได้เหรียญทองแดง

ต่อมาในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2012 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร “พิมศิริ ศิริแก้ว” ได้คว้าเหรียญเงินในการแข่งขันยกน้ำหนัก รุ่น 58 กิโลกรัม ขณะที่ “ศิริภุช กุลน้อย” ได้เหรียญทองแดงในรุ่นเดียวกัน ซึ่งต่อมาในโอลิมปิกเกมส์ 2016 ณ กรุงริโอเดจาเนโร พิมศิริยังสามารถคว้ารางวัลเหรียญเงินในการแข่งขันกีฬายกน้ำหนักได้อีกเช่นกัน

Advertisment

ทั้งนี้ ศิริภุช กุลน้อย เป็นนักกีฬาที่ได้เหรียญทองแดงโอลิมปิกย้อนหลัง จากการคว้าอันดับ 4 ในโอลิปปิก 2012 แต่หลังจากนั้น 6 ปี นักกีฬาจากยูเครนที่ได้อันดับ 3 ตรวจพบการใช้สารต้องห้ามจึงถูกริบเหรียญ และมีการขยับให้ศิริภุชขึ้นรับเหรียญทองแดงแทน

โอลิมปิก 2016 ประเทศไทยยังได้เหรียญจากกีฬายกน้ำหนักอีก 3 เหรียญ โดยเป็น 2 เหรียญทองจากพลังหญิงของ “สุกัญญา ศรีสุราช” และ “โสภิตา ธนสาร” ในขณะที่ “สินธุ์เพชร์ กรวยทอง” ก็คว้าเหรียญทองแดงจากกีฬายกน้ำหนักชาย รุ่น 56 กิโลกรัม ซึ่งนับเป็นนักยกน้ำหนักชายคนแรกของไทยที่ได้เหรียญโอลิมปิกหลังจากรอคอยมา 52 ปี ตั้งแต่การส่งทีมนักยกน้ำหนักชายเข้าร่วมแข่งขันในปี 1964

น่าเสียดายที่ในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2020 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สมาคมยกน้ำหนักประเทศไทยกลับถูกแบนไม่ให้เข้าแข่งขันจากกรณีพบสารต้องห้ามในร่างกายของนักกีฬา ทำให้ในปีนั้นไทยไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาประเภทนี้ได้

ฟ่าง-ธีรพงศ์ ศิลาชัย
ฟ่าง-ธีรพงศ์ ศิลาชัย (ภาพ : AFP)

โอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จึงนับเป็นการกลับมาอีกครั้งอย่างสมศักดิ์ศรี เมื่อออย-สุรจนา คำเบ้า คว้าเหรียญทองแดงจากแข่งขันกีฬายกน้ำหนัก รุ่น 49 กิโลกรัม ขณะที่ฟ่าง-ธีรพงศ์ ศิลาชัย คว้าเหรียญเงินจากกีฬายกน้ำหนัก โดยทำน้ำหนักรวมทั้งสิ้น 303 กิโลกรัม และนับเป็นเหรียญเงินเหรียญแรกของกีฬายกน้ำหนักชายอีกด้วย

เมื่อนับเหรียญรางวัลที่ไทยได้รับจากกีฬาดังกล่าว จะพบว่าประเทศไทยได้รับเหรียญจากกีฬายกน้ำหนักหญิงทั้งสิ้น 14 เหรียญ ขณะที่กีฬายกน้ำหนักชายได้ 2 เหรียญ รวม 16 เหรียญ (ข้อมูลล่าสุดวันที่ 7 ส.ค. 67)

ยกน้ำหนักจึงเป็นกีฬาที่ไทยสามารถคว้าเหรียญจากการแข่งขันได้ในทุกรอบที่เข้าแข่ง

ออย-สุรจนา คำเบ้า
ออย-สุรจนา คำเบ้า (ภาพ AFP)

เรื่องจาก MIC ภาพ : AFP