
“หมอแอมป์-นายแพทย์ ตนุพล วิรุฬหการุญ” ไขความลับ “SUSTAINABLE WELLNESS” การมีสุขภาพดี จะช่วยให้โลกใบนี้ดีขึ้นได้อย่างไร บนเวที “Sustainability Expo 2024” (SX2024) มหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
วันที่ 30 กันยายน 2567 เริ่มต้นขึ้นแล้วสำหรับงานมหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน “Sustainability Expo 2024” (SX2024) ซึ่งปีนี้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 กับแนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” (Sufficiency for Sustainability) ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QNSCC)
ภายในงานได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญหลากหลายด้าน โครงการ ไอเดีย เทคโนโลยี นวัตกรรม และแนวคิดที่น่าสนใจต่าง ๆ เพื่อโลก ตลอดจนช่วยให้องค์กรและประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันสร้างความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม และเวิร์กช็อปที่ส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน การบรรยายและให้ความรู้โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 รายทั่วโลก เครือข่ายธุรกิจยั่งยืนจากบริษัทและองค์กรชั้นนำของไทยและต่างประเทศกว่า 270 แห่ง ตอบโจทย์สำหรับคนทุกวัย
หนึ่งในไฮไลต์คือ เวที SX Talk Stage ร่วมปลดล็อกมิติสุขภาพกับเรื่องของความยั่งยืน “SUSTAINABLE WELLNESS : รักษ์โลก ไร้โรค” เพราะสุขภาพดีคือสมบัติที่สำคัญที่สุด โดย “หมอแอมป์-นายแพทย์ ตนุพล วิรุฬหการุญ” ประธานคณะผู้บริหารบีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และนายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน ที่ได้มาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์สร้างสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน
โลกป่วยหนัก อุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้น
นายแพทย์ตนุพลกล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ทุกคนได้สัมผัสถึงผลกระทบของโลกร้อนโดยตรงและดูเหมือนจะใกล้ตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำทะเลสูง ภัยพิบัติน้ำท่วม พายุไต้ฝุ่น ซึ่งหลายอย่างมีทีท่าว่าจะเลวร้ายมากขึ้น
ภาวะนี้เกิดขึ้นทั้งจากธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อโลก กระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ เพราะฉะนั้น ยิ่งเราทำให้โลกร้อนมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเจอกับภัยต่าง ๆ มากขึ้นเท่านั้น
“ลองเปรียบโลกของเราเหมือนกับตัวเรา อุณหภูมิตัวเราเท่ากับ 37.5 องศา ถ้าเพิ่มขึ้น 1.5 องศา เป็นอุณหภูมิ 39 องศา เรียกว่าเริ่มไข้สูง และถ้าเพิ่มขึ้น 2 องศา เป็น 39.5 องศา เรียกว่ามีไข้สูงมากจนมีสิทธิเสียชีวิตได้เลย จะเห็นว่าถ้าเราเปรียบโลกเหมือนตัวเราแล้วก็เท่ากับว่าโลกกำลังป่วยหนัก”
โลกร้อนขึ้น โรคมากขึ้น
นายแพทย์ตนุพลกล่าวอีกว่า ปัจจุบันเรากำลังเข้าสู่ยุคโลกเดือด (Global Boiling) มีการคาดการณ์ว่าปี 2030-2050 อุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้นจะทำให้ผู้คนเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 250,000 คนต่อปี จากภาวะทุพโภชนาการ โรคมาลาเรีย ท้องร่วง รวมถึงภาวะเครียดจากผลกระทบด้านมลพิษ ความร้อน น้ำท่วม นอกจากนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังคาดการณ์ว่าจะมีคนเสียชีวิต 7 ล้านคนต่อปีจากการสัมผัสมลพิษทางอากาศ
ในแต่ละวันพฤติกรรมของเราก่อให้เกิดคาร์บอนฟุตพรินต์ สร้างก๊าซเรือนกระจกตัวการทำให้โลกร้อน แต่การปรับตัวเพื่อการมีสุขภาวะที่ดีช่วยโลกได้ จากข้อมูลทางสถิติในอาเซียน พบว่าในแต่ละวันคนไทยปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์ออกมาจากกิจกรรมต่าง ๆ เท่ากับ 3.8 คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) อยู่เป็นอันดับที่ 4 ในอาเซียน ในขณะที่สถิติของบรูไน เป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 24 CO2e
“องค์การสหประชาชาติ (UN) ให้ความหมายของ Sustainability ว่าเป็นการตอบสนองความต้องการของคนในปัจจุบัน โดยไม่ลดทอนความสามารถในการตอบสนองความต้องการของคนรุ่นถัดไป ดังนั้น การสร้างพฤติกรรมสุขภาพอย่างยั่งยืน (Sustainable Health Behaviours) ไปพร้อมกับการสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความยั่งยืน (Sustainability Literacy) จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อการมีสุขภาวะที่ดี ไม่เพียงแค่คนในรุ่นปัจจุบัน แต่รวมถึงของคนรุ่นถัดไปอีกด้วย” นายแพทย์ตนุพลกล่าวบนเวที SX TALK STAGE ในงาน SX2024
5 หลักการปรับพฤติกรรม เพื่อสุขภาพดีอย่างยั่งยืน
1.อาหารจากพืช คืออาหารที่ยั่งยืน
การบริโภคในยุคนี้มนุษย์เราเน้นโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ขณะที่จำนวนประชากรกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน เพราะระบบอุตสาหกรรมอาหารปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึงประมาณ 1 ใน 4 ของโลก
จากรายงานจาก McKinsey Sustainability เดือนกันยายน ปี 2021 พบว่าสัตว์เคี้ยวเอื้องอย่างวัวและแกะ ปล่อยก๊าซมีเทนในระหว่างการย่อยอาหาร พร้อมกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่น ๆ คิดเป็นสัดส่วนเกือบร้อยละ 70 ของการปล่อยมลพิษทางการเกษตร
“การได้มาซึ่งเนื้อวัว 1 กิโลกรัม ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศสูงถึง 60 กิโลกรัม ขณะที่ถั่วเหลืองก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 0.9 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งปริมาณต่างกันถึง 60 เท่า”
โดยเฉลี่ยแล้วหากทุกคนรับประทานอาหารที่มีพืชเป็นส่วนประกอบ (Plant-based Diet) มากขึ้น และหยุดการปล่อยมลพิษจากภาคส่วนอื่น ๆ มีโอกาสสูงถึง 50% ที่จะหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกได้ 1.5 องศาเซลเซียส ตามข้อตกลงในการประชุม COP26 ที่นานาชาติรวม 200 ประเทศได้ประกาศที่ได้ทำร่วมกันไว้
สำหรับแนวทางการรับประทานอาหารที่ยั่งยืนที่หมอแอมป์แนะนำ มีทั้งมังสวิรัติ วีแกน และแบบที่มีแนวโน้มการกินเพิ่มมากขึ้นทั่วโลกเทียบสัดส่วนจาก 10% เป็น 13% และหมอแอมป์เองก็เลือกทำคือ แบบยืดหยุ่น หรือที่เรียกว่า Flexitarian เน้นการกินอาหารที่มาจากพืช สลับกับเนื้อหรือปลาเล็กน้อยเป็นบางครั้ง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งยังดีต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
2.ออกกำลังกาย
การมีการมีสุขภาพดีแบบยั่งยืนไม่ได้จำกัดเพียงแค่รูปแบบการกินอาหารเท่านั้น แต่รวมถึงกิจกรรมทางกายที่เกิดผลดีต่อสุขภาพ ซึ่งนอกจากการออกกำลังกายในยิมแล้ว การปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางในชีวิตประจำวัน อย่างการเดินเท้า วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือการเดินทางแบบใช้แรงกายตัวเองเป็นหลัก (Active Transportation) เป็นรูปแบบการเดินทางที่ไม่ก่อให้เกิดคาร์บอน (Carbon-Free) และเพิ่มโอกาสในการออกกำลังกาย ช่วยสร้างเสริมสุขภาพในทุกช่วงอายุ
ในรายงานปี 2011 ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Environment International พบว่าการเดินทางแบบใช้แรงกาย มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดประมาณ 11% รวมถึงลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคมะเร็งบางชนิด
3.อากาศดี
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ส่งผลให้คุณภาพอากาศแย่ลง อากาศที่ไม่ดีนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการระคายเคืองที่ตา จมูกและคอ อาการไอ อาการภูมิแพ้ แย่ไปกว่านั้นคือส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งในระยะยาวมลพิษทางอากาศเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด และยังส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
การมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการไม่สูบบุหรี่ การลดการบริโภคอาหารแปรรูป หรือหลีกเลี่ยงการใช้รถยนต์ส่วนตัว มีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สาเหตุของภาวะโลกร้อน และลดการสร้างฝุ่น PM 2.5 ลดความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจ ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น ไม่เฉพาะแค่ตัวเรา แต่รวมไปถึงครอบครัวและผู้คนอื่น ๆ บนโลก
4.การนอนหลับที่ดีและยั่งยืน
นอกจากการนอนจะเป็นพฤติกรรมที่ดีในมิติสุขภาพแล้ว การนอนหลับยังเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เพราะในขณะตื่นนอน มนุษย์จำเป็นต้องอาศัยทรัพยากรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร พลังงานไฟฟ้า และเชื้อเพลิง หมายความว่ายิ่งเรานอนหลับน้อยลงเท่าใด ก็ยิ่งเผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น
นอกเหนือจากการใช้ทรัพยากรในยามตื่น การนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพและระยะเวลาไม่เพียงพอ ยังส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคภัย ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง และเกิดปัญหาสุขภาพจิต และเมื่อมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นก็เพิ่มของเสียทางการแพทย์ เพิ่มขยะกำจัดยากเป็นภาระของโลกมากขึ้น
5.กิจกรรมอาสา สร้างอารมณ์แห่งความสุข
สิ่งแวดล้อมรอบตัวส่งผลต่อสุขภาพจิตและอารมณ์ของผู้คนเป็นอย่างมาก หากสิ่งแวดล้อมดี มลพิษน้อย จิตใจจะแจ่มใส ความเครียดลดน้อยลง สำหรับกิจกรรมจิตอาสา เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมและยังสร้างความตระหนักรู้ นอกจากจะช่วยโลกแล้ว ยังสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนและส่งผลด้านบวกต่ออารมณ์ของเรา
“ทั้ง 5 พฤติกรรมนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้สุขภาพของเราดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อโลกของเราอีกด้วย ดังนั้น การดูแลสุขภาพ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อคนที่เรารักและโลกใบนี้ มาร่วมสร้างสังคมสุขภาพดีอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน สุดท้ายนี้ขออวยพรให้ทุกคนมีสุขภาพดี ‘อโรคยา ปรมา ลาภา ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” นายแพทย์ตนุพลกล่าว
“เพราะความยั่งยืนเป็นเรื่องของทุกคน” ที่จะมาร่วมกันเปลี่ยนโลกใบนี้ให้น่าอยู่อย่างยั่งยืนผ่านกิจกรรมมากมาย พร้อมแลกเปลี่ยนแนวคิด และไอเดียด้านความยั่งยืนกับวิทยากรชื่อดัง ศิลปิน และเหล่าไอดอลจากทุกแวดวง ตื่นเต้นไปกับสุดยอดนวัตกรรมกอบกู้โลกให้คุณได้เรียนรู้ และพร้อมปรับตัว เพื่อความอยู่รอดในวิถีชีวิตประจำวันยุคโลกเดือดได้อย่างมีความสมดุล ในงาน Sustainability Expo (SX2024) ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง วันที่ 6 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)