ตะลุยรัสเซียก่อนบอลโลก หลงเสน่ห์ “เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก”

ชวนตะลุยมอสโก เมืองหลวงรัสเซียกันไปเมื่อตอนที่แล้ว คราวนี้ถึงคิวของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มหานครอันเป็นเมืองหลวงเก่า เป็นเมืองท่าที่ใกล้ชิดติดยุโรป และแสนงดงาม

นอกจากแฟนลูกหนังชาวไทยจะคุ้นชื่อ “เซนิต เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก” ทีมยักษ์ใหญ่ของเมืองนี้แล้ว ยังมีความผูกพันต่อเนื่องมาจากสมัยที่พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรป และเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กก็คือสถานที่ประวัติศาสตร์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ 2 นั่นเอง

จากมอสโก ผมเดินทางด้วยรถไฟด่วนใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงก็ได้มาสัมผัสอากาศหนาวเหน็บและชื่นฉ่ำในมหานครแสนงามแห่งนี้

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (ยังมีชื่ออื่นอีกทั้ง เปโตรกราด และเลนินกราด) สร้างโดยพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช เมื่อปี ค.ศ. 1703 ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการเชื่อมกับยุโรปให้ใกล้ชิด เนื่องจากมอสโกอยู่ห่างไกลออกไปจากศูนย์กลางวิทยาการ ความรู้ ความเจริญ และความทันสมัย อย่าง ฝรั่งเศส อิตาลี สเปนภูมิทัศน์ของเมืองจึงได้รับการวางผังไว้อย่างสวยงาม โดยมีแม่น้ำเนวาไหลผ่านออกสู่ทะเลบอลติก กลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ถูกยกเป็นเมืองหลวงนานถึง 206 ปีก่อนจะกลับไปใช้มอสโกตามเดิม

ไม่น่าแปลกใจที่แค่นั่งรถชมเมืองก็เพลิดเพลินไปกับสถาปัตยกรรมที่ชวนมองแบบเดียวกับที่ได้เห็นในยุโรป

5 ไฮไลต์ที่จะชวนไปเดินทอดน่องท่องชมกันในเมืองนี้ ก็จะเป็น พระราชวัง พิพิธภัณฑ์ รวมถึงโบสถ์วิหาร แบบเนื้อ ๆ กันเลยทีเดียว (ต้องขออภัยสายช็อป สายชิล มา ณ ที่นี้)

เฮอร์มิเทจ

1.เฮอร์มิเทจ (State Hermitage Museum) หรือพระราชวังฤดูหนาว ซึ่งถูกใช้เป็นที่ประทับของราชวงศ์โรมานอฟ มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1732 จนถึงปี ค.ศ. 1917 ตัวอาคารที่สร้างและบูรณะมาเป็นลำดับ ด้วยสไตล์บาโรก, นีโอคลาสสิก

ต่อมาได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เก่าแก่และมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการยกย่องในระดับเดียวกันกับพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ของฝรั่งเศส, อูฟิซี่ ที่เมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี หรือ บริติช มิวเซียม ในลอนดอนเลยเชียวแหละครับ

โบราณวัตถุภายในเฮอร์มิเทจ

อันนี้ไม่ได้เวอร์หรือเล่นใหญ่เกินจริง เพราะหากเป็นคนที่ชอบหรือสนใจประวัติศาสตร์-ศิลปะแล้วละก็ เดินกันทั้งวันยังดูไม่ทั่ว มีศิลปะภาพวาดและโบราณวัตถุล้ำค่ามากกว่า 3 ล้านชิ้น ทั้งเครื่องทอง เครื่องเพชร ไข่ฟาร์บาเช่ ฉลองพระองค์ของราชวงศ์ เครื่องประดับอัญมณี ประติมากรรมหินอ่อนจากอิตาลี ไปจนถึงมัมมี่จากอียิปต์ก็ยังมี !

หนึ่งในไฮไลต์ที่ยกย่องกันว่าเป็นสุดยอดแห่งศิลปกรรมและการรังสรรค์กลไกนาฬิกาก็คือ นาฬิกานกยูง The Peacock Clock อะเมซิ่งขนาดไหนลองเสิร์ชดูในยูทูบของ State Hermitage Museum เลยครับ

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบภาพเขียน ที่นี่คือสุดยอดคอลเล็กชั่นงานจิตรกรรมภาพเขียนจากสุดยอดฝีมือ ศิลปินเบอร์ใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น Leonardo Da Vinci, Picasso, Raphael, Rubens, Rembrandt, Botticelli, Michelangelo, Velazquez, Goya ฯลฯ

เอาเฉพาะที่มีเวลาเข้าไปพินิจ พร้อมฟังบรรยายจากไกด์ท้องถิ่น ภาพวาดของ Da Vinci และภาพที่มีชื่อเสียงมากอย่าง The Return of the Prodigal Son ของ Rembrandt ก็ปลาบปลื้มดื่มด่ำกันเกือบ 20 นาทีเข้าไปแล้ว ที่นี่จึงเป็น It”s a must ที่ห้ามพลาดจริง ๆ

ป้อมปีเตอร์-พอล

2.ป้อมปีเตอร์-พอล (Peter and Paul Fortress) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1703 เพื่อเป็นเกียรติแด่นักบุญ

ปีเตอร์ และนักบุญพอล เป็นช่วงที่พระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราชเริ่มก่อตั้งเมือง นี่คือป้อมที่มีสิ่งปลูกสร้างสีทองสูง เด่นตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำ และภายในก็มีความงดงามควรค่าแก่การเข้ามาเดินชม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่นี่เป็นที่ฝังพระศพของสมาชิกราชวงศ์โรมานอฟมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช จนถึงพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2

พระราชวังแคเทอรีน

3.พระราชวังแคเทอรีน (Catherine Palace) ตั้งอยู่ที่เมืองซาร์สโกเย เซโล (Tsarskoye Selo) ต้องนั่งรถออกมาจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประมาณครึ่งชั่วโมง (ห่างกัน 25 กิโลเมตร) วังนี้ถูกสร้างปี ค.ศ. 1717 พระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราชมีพระราชประสงค์ให้เป็นที่ประทับช่วงฤดูร้อนของพระมเหสี (องค์ที่สอง)

ต่อมาได้รับการปรับปรุงขนานใหญ่ในสมัยพระนางเอลิซาเบธ โปรดให้สถาปนิกชาวอิตาลี Bartolomeo Francesco Rastrelli สร้างและตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบโรโกโก (Rococo) โชว์ให้เห็นความยิ่งใหญ่อลังการ ซึ่งโทนสีหลักคือ สีทองอร่ามอลังการ

แม้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพเยอรมนีจะทำลายพระราชวังลง แต่ก็มีการสร้างและบูรณะใหม่ ซึ่งเรายังคงสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ หรูหรา ในการใช้ชีวิตของราชวงศ์รัสเซียในยุคนั้น

โบสถ์แห่งหยดเลือด

4.โบสถ์แห่งหยดเลือด (Church of Savior on the Spilled Blood) รูปทรงและหน้าตาที่เห็นจากภายนอกเป็นอื่นไปไม่ได้ว่า นี่คือแรงบันดาลใจจากวิหารSt.Basil”s ที่มอสโกแน่นอน โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 ตั้งอยู่ในบริเวณที่พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 (พระราชบิดา) ถูกลอบปลงพระชนม์ นัยว่าเพื่อเป็นอนุสรณ์สำหรับเหตุการณ์ครั้งนั้น

ความโดดเด่นอยู่ที่การตกแต่งภาพภายใน ทั้งภาพที่ปรากฏรอบผนัง และบนเพดานโดม ล้วนวิจิตร ตระการตา มีภาพเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนามากมาย และเป็นภาพที่ใช้เทคนิคโมเสกที่ละเอียดอย่างเหลือเชื่ออีกด้วย

ตบท้ายด้วยเรื่องเล่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งรัสเซียตรึงกองทัพนาซีไว้ได้อย่างเนิ่นนานที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กโดนถล่มจากปืนใหญ่และเครื่องบินทิ้งระเบิดอย่างหนักหน่วง แต่ก็รอดมาได้ โบสถ์แห่งหยดเลือด นี่แหละคือคลังเก็บเสบียงที่สำคัญในช่วงเวลานั้น

มหาวิหารเซนต์ไอแซก

5.วิหารเซนต์ไอแซก (St.Isaac”s Cathedral) หรือ Isaakievskiy Sobor เป็นแลนด์มาร์กของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก อย่างแท้จริง ด้วยขนาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของรัสเซีย (รองจาก Cathedral of Christ the Saviour) ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 40 ปี โดยเป็นฝีมือของสถาปนิกชาวฝรั่งเศสชื่อว่า Auguste de Montferrand

ชื่อมหาวิหารก็ตั้งตามชื่อของ Saint Isaac the Confessor ซึ่งเป็นนักบุญประจำพระองค์ของพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราชนั่นเอง

นอกจากความใหญ่โตที่โดดเด่นภายนอกแล้ว ภายในก็เต็มไปด้วยสีสันอันงดงามของภาพวาด รูปเคารพ ที่มีทั้งภาพวาดสี และภาพโมเสก พร้อมเอกลักษณ์ที่โดดเด่น คือ เสาหินสีเขียวที่ทำมาจากมาลาไคท์ (หินสีเขียว) จากเทือกเขาอูราล

เอาแค่ 5 ไฮไลต์ที่เป็นสุดยอดวัด วัง และพิพิธภัณฑ์ ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กชุดนี้ ก็เป็นแรงดึงดูดมหาศาลให้ผู้ที่มีโอกาสได้มาเยือนนครแห่งนี้ต้องประทับใจไม่แพ้เมืองใหญ่ ๆ ในยุโรปที่อื่น ๆ แน่นอน

ใครไปดูฟุตบอลโลกที่รัสเซีย ขอเชียร์ว่าอย่าพลาด 5 ไฮไลต์นี้ครับ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบงานศิลปะ ประวัติศาสตร์ ตลอดจนความงาม นี่คือเสน่ห์ของเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ที่จะทำให้คุณตกหลุมรักได้ไม่ยากเลยจริง ๆ