
บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) นำโดย มติชนสุดสัปดาห์ มติชนออนไลน์ ศิลปวัฒนธรรม สำนักพิมพ์มติชน และศูนย์ข้อมูลมติชน จัดงานประกาศรางวัล “มติชนอวอร์ด 2024” (MATICHON AWARDS 2024) โครงการประกวด เรื่องสั้น กวีนิพนธ์ และการ์ตูนการเมืองสะท้อนสังคม เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ณ อาคารมติชน พร้อมริเริ่ม “รางวัลมติชนเกียรติยศ” เป็นครั้งแรก เพื่อมอบแก่ศิลปิน นักคิด นักเขียน คอลัมนิสต์ นักหนังสือพิมพ์ ที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ มีคุณูปการต่อแวดวงหนังสือและวรรณกรรม
บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีบรรดานักคิด นักเขียน นักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์ สื่อมวลชนอาวุโส บุคคลมีชื่อเสียงร่วมงานคับคั่ง โดยมี นายขรรค์ชัย บุนปาน ประธานบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), น.ส.ปานบัว บุนปาน ประธานกรรมการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), นายปราปต์ บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), นายสุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร บรรณาธิการ กองบรรณาธิการมติชนสุดสัปดาห์ พร้อมคณะผู้บริหารในเครือ ร่วมงานและให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ
มติชนเกียรติยศ “อรุณ วัชระสวัสดิ์”
คณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัลมติชนวอร์ด มีฉันทามติเป็นเอกฉันท์ มอบรางวัลมติชนเกียรติยศ ให้แก่ “อรุณ วัชระสวัสดิ์” โดยนายขรรค์ชัย บุนปาน ประธานบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้มอบรางวัล
นายปราปต์ บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เราต้องพูดถึงสาระสำคัญ ว่าผลงานของ อรุณ วัชระสวัสดิ์ มีคุณูปการอย่างไรต่อสังคมไทย ณ ปี 2567 การมอบรางวัลมติชนเกียรติยศให้อรุณนั้น เป็นการพยายามส่งสาร ยื่นข้อเสนอ หรือโยนคำถามให้กับสังคมไทยร่วมสมัย
จากเนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือ “อรุณตวัดการเมือง” ปี 2555 มาถึงคำประกาศรางวัลศรีบูรพาปี 2563 จนกระทั่งคำประกาศรางวัลมติชนเกียรติยศปี 2567 ดูเหมือนว่าทุกสถาบัน ทุกสำนัก จะพยายามตอกย้ำว่า อรุณเป็นการ์ตูนนิสต์และนักหนังสือพิมพ์ จึงอยากชวนให้ทุกคนจินตนาการและคิดไปไกลกว่านั้นว่า จริง ๆ แล้ว อรุณเป็นอย่างอื่นได้อีกหรือไม่

เรื่องแรกที่อยากชวนให้ทบทวนคือ ถ้าย้อนอ่านการ์ตูนของอรุณ ประมาณทศวรรษที่ผ่านมา หรือหนังสืออรุณตวัดการเมืองปี 2553-2555 ซึ่งอยู่ในช่วงความขัดแย้งของการเมืองเสื้อสี และข้ามมาที่การ์ตูนของอรุณ ในช่วงทศวรรษ 2560 เป็นต้นมา
เรื่องน่าทึ่งคือ แม้วิธีการหรือเทคนิคของอรุณจะเปลี่ยนไปบ้างตามเทคโนโลยี แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือหลักคิดและจุดยืนทางการเมืองของอรุณที่ยังคงเดิม ไม่ได้โอนเอนไปตามบุคคล พรรคหรือกลุ่มการเมืองใด ๆ อรุณยึดมั่นหลักการและคุณค่าของระบอบประชาธิปไตย ระบบการเลือกตั้ง และหลักสิทธิมนุษยชนอยู่เสมอ
“ตลอดช่วง 2 ทศวรรษ สังคมไทยมีความขัดแย้งทางความคิด ทางการเมืองอย่างหนัก มีผู้ใหญ่ที่เสียผู้ใหญ่เยอะมากตามรายทาง แต่อรุณเป็นผู้ใหญ่ที่ยังไม่เสียผู้ใหญ่มาจนกระทั่งบัดนี้”

ถามว่าจุดยืนของอรุณ สามารถตั้งตรงได้ขนาดนี้เพียงเพราะเป็นการ์ตูนนิสต์และนักหนังสือพิมพ์เท่านั้นหรือ คำตอบอาจจะใช่และไม่ใช่ ที่ไม่ใช่เพราะว่าการ์ตูนนิสต์หรือนักหนังสือพิมพ์ก็เช่นเดียวกับผู้ประกอบวิชาชีพอื่น ๆ ที่สามารถเปลี่ยนหลักคิด เปลี่ยนความเชื่อของตัวเองได้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ
จริง ๆ อาจมีหลายเหตุปัจจัยที่ทำให้ “อรุณ” เป็น “อรุณ” ที่ยังเชื่อมั่นในวัฒนธรรมและคุณค่าระบอบประชาธิปไตย เช่น อรุณ อาจเป็นพลเมืองที่กระตือรือร้นอย่างสูงต่อเหตุการณ์ความเป็นไปในประเทศและโลกสากล หรืออาจเป็นเพราะพื้นฐานที่สุดของ อรุณ เป็นมนุษย์ที่รักในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และเห็นว่ามนุษย์ทุกคนควรใช้ชีวิตในสังคมนี้อย่างเท่าเทียมและเสมอภาคกัน
อีกประเด็นที่อยากชวนคิดคือ บ่อยครั้งที่เรามองผลงานของอรุณ เป็นปฏิกิริยาอะไรบางอย่าง เป็นลูกปิงปองที่ตอบโต้ หรือเป็นผลลัพธ์ของสิ่งอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เช่น มองว่าการ์ตูนของอรุณ เป็นงานที่เสียดสีผู้มีอำนาจ มองว่าการ์ตูนของอรุณ เป็นผลสรุปรวบยอดของความคิดเห็นของบุคลากรคนอื่น ๆ ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์

แต่อีกมุมหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏชัดตลอดหลายปี การ์ตูนของอรุณ ทำหน้าที่สร้างสรรค์ จุดประกาย และเป็นบ่อเกิดการส่งมอบความหวัง ความใฝ่ฝันอันดีงามให้แก่คนไทยที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยด้วย
“การ์ตูนของอรุณ ช่วยฉายให้เห็นเค้าโครงว่าอะไรคือภาพลักษณ์ที่พึงปรารถนาและไม่พึงปรารถนาของสังคมการเมืองที่ดี กล่าวอีกอย่างคืออรุณพยายามออกแบบโครงสร้างการเมืองไทยที่พึงปรารถนาผ่านผลงานการ์ตูนของเขา ซึ่งอรุณทำหน้าที่อันนี้ได้ดีกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเสียอีก”
เรื่องสำคัญอีกเรื่องคือเวลาบอกว่าอรุณเป็นการ์ตูนนิสต์ เป็นนักหนังสือพิมพ์ ก็มักมีคนที่รู้จักอรุณแทรกข้อมูลอื่น ๆ ขึ้นมาเสริม เช่น อรุณเป็นคนออกแบบปกหนังสือชั้นเยี่ยม เป็นคนออกแบบตัวพิมพ์ชั้นยอด ในแง่นี้อรุณก็ถือเป็นดีไซเนอร์ในโลกศิลปะ
ในขณะเดียวกันก็เห็นชื่ออรุณในรายการทีวีที่อยู่คู่จอโทรทัศน์ไทยมานานมากอย่าง “จดหมายเหตุกรุงศรี” ในแง่นี้ อรุณ ถือเป็นคนทำทีวีคนหนึ่ง เอาเข้าจริง อรุณ อาจยังเป็นอะไรอย่างอื่นที่กว้างและสามารถกว่านั้นได้อีก
ข้อแรก หลายคนมักนิยามว่า อรุณเป็น “การ์ตูนนิสต์” แต่มักไม่ค่อยมีคนนิยามว่า อรุณเป็นจิตรกรผู้สร้างผลงานจิตรกรรมชั้นเยี่ยมแห่งยุคสมัยตลอด 5 ทศวรรษที่ผ่านมา ผลงานของอรุณเป็นอาร์ตเวิร์กซึ่งมีคุณค่าในตัวของมันเอง โดยที่ไม่ต้องอยู่ในหนังสือก็มีคุณค่า
“บางที ปัญหาของการนิยามว่า อรุณ เป็นจิตรกรหรือไม่เป็น ผลงานของอรุณเป็นผลงานจิตรกรรมหรือไม่ใช่ จึงอาจขึ้นอยู่กับโลกทัศน์และรสนิยมของผู้นิยามหรือผู้ประเมินค่ารายนั้น ๆ พูดอีกแบบคือปัญหาอยู่ที่คนนิยาม ไม่ได้อยู่ที่ผลงานของอรุณ”
ข้อถัดมาคือ แม้การ์ตูนของ อรุณ จะสื่อสารผ่านภาษาภาพเป็นหลัก แต่คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าผลงานของอรุณเป็นเรื่องเล่าชั้นยอด ที่มีแง่คิดคมคายและอารมณ์ความรู้สึกอันหลากหลายของมนุษย์ที่แฝงอยู่ในงานทุกชิ้น เรื่องเล่าที่ไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดด้วยตัวอักษร ข้อความ หรือประโยคข้อเขียนอะไรมากมายนัก
“ในแง่นี้ผมอยากจะถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะพิจารณาว่าผลงานทั้งหมดของอรุณนั้นมีคุณค่าในเชิง วรรณศิลป์ด้วย ถ้าพิจารณารากศัพท์ทั้งบาลีและสันสกฤตแล้ว เอาเข้าจริงคำว่า ‘วรรณ’ ก็ไม่ได้มีความหมายว่า ‘ตัวอักษร’ หรือเรื่องเกี่ยวกับ ‘หนังสือ’ อย่างที่เราคุ้นเคยในสังคมไทย แต่คำนี้อาจจะหมายถึง สีสัน รูปทรง ความงาม ตลอดจนสีหน้าท่าทางได้อีกด้วย ยิ่งเมื่อพิจารณาความหมายอื่น ๆ เหล่านี้ ผลงานของอรุณย่อมเข้าข่ายเป็นงานวรรณศิลป์ประเภทหนึ่ง”
เช่นเดียวกับการพูดถึงคำว่า “Literature” หรือ “วรรณกรรม” ซึ่งนิยามช่วงหลัง ๆ เรื่องเล่ามุขปาฐะก็ดี ภาพเขียนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็ดี ก็มีสถานะเป็นวรรณกรรมประเภทหนึ่ง ในการนิยามของใครหลายคน หรือสุดท้ายถ้าอยากจะยืนกรานว่า วรรณศิลป์ต้องเป็นงานศิลปะที่มีความข้องเกี่ยวกับหนังสือเท่านั้น ก็น่าจะไม่มีใครเถียงว่างานศิลปะตลอดชีวิตของอรุณนั้นเผยแพร่อยู่ในหนังสือ แล้วก็สื่อสิ่งพิมพ์ ฉะนั้นงานของอรุณจึงเป็นวรรณศิลป์ในความเห็นของผมด้วย
แต่ไม่ว่าเราจะนิยมว่า อรุณเป็นศิลปินที่สร้างจิตรกรรมหรืองานวรรณศิลป์ อีกสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นเคียงคู่กันกับลักษณะดังกล่าว คือ ผลงานของอรุณมีความยึดโยงกับวัฒนธรรมมวลชนอย่างแยกไม่ออก เมื่อการ์ตูนหรืองานศิลปะอื่นของอรุณเผยแพร่อยู่ในสื่อสิ่งพิมพ์ ที่เข้าถึงมวลชนในวงกว้าง อย่างน้อยก็ในยุคสมัยหนึ่ง ขณะเดียวกัน การทำรายการโทรทัศน์ก็ยิ่งบ่งชี้ว่าอรุณนั้นมีความข้องเกี่ยวหรือมีความใส่ใจให้ความสำคัญกับสื่อที่มีศักยภาพเข้าถึงผู้คนในวงกว้างขนาดไหน
กระทั่งในปัจจุบัน อรุณก็ยังพยายามเผยแพร่งานผ่านทางโซเชียลมีเดีย ทำให้ผลงานเหล่านี้สามารถเข้าถึงผู้ชมคนอ่านได้อีกไม่น้อย และน่าสนใจว่าอรุณสามารถรักษาการทำงานขั้นสูงเอาไว้ได้ตลอด 5 ทศวรรษ ซึ่งเอาเข้าจริงเป็นเรื่องยาก ถ้าใครอยู่ในแวดวงศิลปะจะเห็นศิลปินที่อยู่ในยุคทองได้ 1-2 ทศวรรษเท่านั้น แต่อรุณทำงานในส่วนนี้ได้ยาวนานกว่านั้น การยืนระยะของอรุณทำให้ไม่ได้เป็นเพียงที่ชื่นชอบของคนอ่านรุ่นราวคราวเดียวกัน อายุ 60-70 เท่านั้น แต่งานของอรุณยังเป็นที่ชื่นชมของคนรุ่นหลังที่ผ่านมาพบเจอ ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ หรือโซเชียลมีเดียด้วย
ด้วยเหตุนี้ การ์ตูน ผลงานจิตรกรรม ผลงานวรรณศิลป์ ของอรุณ จึงเป็นงานศิลปะที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อมวลชนจำนวนมาก และผ่านรุ่นอายุหรือเจเนอเรชั่นของคน แม้ในความเห็นของบางคน ผลงานของอรุณอาจจะไม่ใช่ผลงานศิลปะที่สูงส่งขึ้นยิ่ง แต่งานของอรุณก็เป็นศิลปะที่แพร่กระจายไปตามท้องตลาด วิถีการผลิต การจัดจำหน่าย และการบริโภคของผู้คน รวมถึงเข้าถึงชีวิตของสามัญชนอย่างกว้างใหญ่ไพศาล งานของอรุณเป็นศิลปะที่เข้าถึงประชาชน เป็นศิลปะของประชาชาติ “ชาติ ที่หมายถึง ประชาชน”
“สุดท้ายนี้ รางวัลมติชนเกียรติยศครั้งแรก ประจำปี 2567 จึงมีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับ อรุณ วัชระสวัสดิ์ ผู้เป็นศิลปินที่สร้างสรรค์งานจิตรกรรมและวรรณศิลป์ที่สำคัญคนหนึ่งของชาติ และผมกำลังจะบอกว่าในความรู้สึกนึกคิดของใครหลายคน อรุณ วัชระสวัสดิ์ เป็นศิลปินแห่งชาติไปแล้วเรียบร้อย”
9 ผลงานคว้ารางวัล
มติชนอวอร์ด 2024 มีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมทั้งสิ้นกว่า 894 ผลงาน ก่อนจะถูกคัดเลือกเหลือเพียง 24 ผลงาน ทั้ง เรื่องสั้น กวีนิพนธ์ และการ์ตูนการเมืองสะท้อนสังคม จนกระทั่งได้ผลงานที่เข้ารอบตีพิมพ์ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ระหว่างเดือนเมษายน-พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา โดยผู้ที่ได้รับรางวัลจากการประกวด ทั้ง 3 ประเภท รวม 9 ท่าน มีดังนี้
“การ์ตูนการเมืองสะท้อนสังคม” รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ “The Mitt” รับโล่ประกาศเกียรติคุณ พร้อมเงินรางวัล 50,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ “ธ.” รับมอบประกาศนียบัตรประกาศเกียรติคุณ พร้อมเงินรางวัล 30,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ “Pai – toon” รับมอบประกาศนียบัตรประกาศเกียรติคุณ พร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท
“กวีนิพนธ์” รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ “หมึกสีม่วง” จากกวีนิพนธ์ “บอนไซ” รับโล่ประกาศเกียรติคุณ พร้อมเงินรางวัล 50,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ “ภูมิ ภูคำ” จากผลงานกวีนิพนธ์ “หินแห่” รับประกาศนียบัตรประกาศเกียรติคุณ พร้อมเงินรางวัล 30,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ “สุไฮมี” จากกวีนิพนธ์ “นาฏกรรมรอบกองเพลิง” รับประกาศนียบัตรประกาศเกียรติคุณ พร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท
“เรื่องสั้น” รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ “ประณต พลประสิทธิ์” จากผลงานเรื่องสั้น “บารายบุราณ” รับโล่ประกาศเกียรติคุณ พร้อมเงินรางวัล 70,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ “ณพรรธน์” จากเรื่องสั้น “ปฏิทรรศน์จันทรา” รับประกาศนียบัตรประกาศเกียรติคุณ พร้อมเงินรางวัล 40,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 แก่ “ญาณทีโป” จากเรื่องสั้น “นั่งห้อยขาคร่ำครวญฯ” รับประกาศนียบัตรประกาศเกียรติคุณ พร้อมเงินรางวัล 20,000 บาท