
“Wednesday Song” ดื่มด่ำบทเพลงที่มีเรื่องเล่า และเรื่องราวที่มีตัวโน้ต ทางเลือกในการฟังดนตรีสดสำหรับคนกรุงวัยทำงาน ไม่ต้องเดินทางไกล ราคาบัตรสบายกระเป๋า ชาร์จพลังเพิ่มในคืนวันพุธกลางสัปดาห์ ไอเดียล่าสุดจาก “หนุ่มเมืองจันท์” โปรเจ็กต์ที่ไม่ต้องมีตัวเขาอยู่บนเวที
กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วในวันนี้ (15 มกราคม 2568) สำหรับ “Wednesday Song” ครั้งที่ 1 จากไอเดียของ “สรกล อดุลยานนท์” หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีในชื่อ “หนุ่มเมืองจันท์” ที่ร่วมกับโรงละครสยามพิฆเนศ ชวนทุกคนมาฟังดนตรีในบรรยากาศสบาย ๆ ในค่ำวันพุธ ซึ่งเป็นวันกลางสัปดาห์ที่คนทำงานต้องการชาร์จพลังเพิ่ม
โดยมีคอนเซ็ปต์ที่ว่า ดื่มด่ำกับบทเพลงที่มีเรื่องเล่า และเรื่องราวที่มีตัวโน้ต แบบสบายกระเป๋า ไม่มีระบบแสง สี อลังการ เหมือนคอนเสิร์ต แต่มีเก้าอี้ที่นั่งสบาย ๆ และการออกแบบ Acoustic ของโรงละครสยามพิฆเนศ ซึ่งจะช่วยทำให้การฟังเพลงมีความสุนทรีย์มากขึ้น
ที่สำคัญคือ Wednesday Song ครั้งที่ 1 มาพร้อมกับศิลปิน “แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข” โดยมีเพลย์ลิสต์เพลงจาก “ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม” ซึ่งงานนี้กำลังจะเริ่มขึ้นในวันนี้ เวลา 19.30-21.10 น.
Wednesday Song ครั้งที่ 1 กระแสดีชนิดที่เรียกว่าบัตรหมดภายในไม่ถึง 1 ชั่วโมง หนุ่มเมืองจันท์และทีมงานจึงเริ่มต้น Wednesday Song ครั้งที่ 2 แบบทันที โดยครั้งนี้มีศิลปินดังอย่าง “โปเตโต้” มาร่วมด้วย และในช่วงเพลย์ลิสต์พบเพลงที่เลือกโดย “กบ บิ๊กแอส” ซึ่งมี “แตงโม-แบงค์” เดอะวอยซ์ เป็นผู้ถ่ายทอดเสียงร้อง โดยจะจัดขึ้นวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 นี้
เกิดขึ้นจาก “ความคัน” ส่วนตัว
หนุ่มเมืองจันท์ เคยเผยถึงจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจของ Wednesday Song รวมทั้งเรื่องราวต่าง ๆ ของโปรเจ็กต์นี้ไว้ว่า วันหนึ่ง “พี่จิก” ประภาส (ประภาส ชลศรานนท์) บอกให้ “หุ่น” กับ “เอก” ผู้บริหารโรงละครสยามพิฆเนศของเวิร์คพ้อยท์ลองมาชวนผมทำอะไรกับโรงละคร ตอนแรก “เอก” จะชวนให้ทำทอล์กโชว์ เขาชวนมาหลายครั้งแล้ว ตอนที่ “เอ๋” นิ้วกลม เพื่อนร่วมรุ่นคณะสถาปัตย์ของเขาทำทอล์กโชว์ และ “เอก” เป็นโปรดิวเซอร์เขาก็มาชวนอีก แต่ผมปฏิเสธทุกครั้ง
บอก “เอก” ว่าในความฝันอันน้อยนิดของผม ไม่เคยเห็นภาพตัวเองยืน “เดี่ยว” อยู่บนเวทีเลย แค่คิดก็ขาสั่นแล้วครับ ยิ่งฟัง “เอ๋” เล่าเรื่องการเตรียมสคริปต์ การท่องบทที่ยาวเหยียด และการซ้อมครั้งแล้วครั้งเล่า ผมยิ่งปฏิเสธความปรารถนาดีของ “เอก” อย่างมั่นใจ ถ้าต้องซ้อมมากขนาดนี้ ไม่ใช่ตัวผมอย่างแน่นอน เราต้องยึดมั่นในความเชื่อของเรา “เดดไลน์” คือ “แรงบันดาลใจ” ซ้อมเยอะ ๆ แรงบันดาลใจหายหมด
โครงการที่ไม่มีตัวผมอยู่บนเวที
หลังจากคุยกันไปเรื่อย ๆ มีหลายเรื่องน่าสนใจ และไม่ยากนัก แต่มันไม่ตื่นเต้น ผมเลยลองเปลี่ยนแนว เล่าไอเดียที่อยู่ในใจมาพักใหญ่แล้วให้ “หุ่น” กับ “เอก” ฟังบ้าง เป็นโครงการที่ไม่มีตัวผมอยู่บนเวทีครับ
ไอเดียนี้เกิดจาก “คำถาม” ผมสงสัยว่าทำไมคนกรุงจึงมี “ทางเลือก” ในการฟังเพลงแบบดนตรีสด ๆ น้อยมาก เพราะถ้าไม่ไปผับ ก็ต้องไปดูคอนเสิร์ตใหญ่ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบบรรยากาศของผับ และความสมบูรณ์แบบของคอนเสิร์ต แต่มีคนอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ชอบ
ทำไมไม่มี “ทางเลือก”
คนบางคนชอบสังสรรค์กับเพื่อน แต่ไม่ชอบไปผับที่เสียงดัง จะคุยกันต้องตะโกน ออกมาเสียงหายทุกที บางทีอยากไปดูการแสดงของศิลปินที่ชอบ กว่าจะเล่นก็ประมาณ 5 ทุ่ม คนที่ไปผับจะให้ความสำคัญกับบรรยากาศเฮฮาสังสรรค์กับเพื่อน มากกว่าฟังดนตรีจริง ๆ ส่วนคนที่ไปดูคอนเสิร์ต เขาจะได้รับความสมบูรณ์แบบของการฟังเพลง ทั้งแสง สี เสียง และสคริปต์ที่เป๊ะ ๆ แต่ต้องจ่ายบัตรราคาสูงมาก คนทำงานระดับกลาง ๆ ดูได้ไม่บ่อย และการไปดูคอนเสิร์ตต้องวางแผนทั้งการเดินทาง เตรียมชุด ใช้เวลากับคอนเสิร์ตไม่ต่ำกว่า 3-4 ชั่วโมง กลับมาแล้วเหนื่อย
คำถามก็คือ ทำไมไม่มี “ทางเลือก” สำหรับคนกรุงวัยทำงานหรือผู้ใหญ่ในการฟังเพลงแบบสบาย ๆ ฟังเพลงสบาย ๆ ควักกระเป๋าจ่ายสบาย ๆ ไปคนเดียวได้ เหมือนไปดูหนัง
ถ้า
มีคำถามหนึ่งที่ “พิกซาร์” สอนกันสำหรับการคิดเรื่องแบบสร้างสรรค์ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า…เราสามารถไปดูวงดนตรีที่เราชอบแบบเล่นในผับ ศิลปินร้องและเล่นกับคนดูอย่างเป็นกันเอง ไม่มีสคริปต์ ไม่เน้นแสง สี เหมือนคอนเสิร์ต ที่นั่งสบาย ๆ เหมือนในโรงหนัง ระบบเสียงดี ๆ ระดับโรงละคร ไม่ต้องตะโกนคุยนั่ง เป็นการแสดงดนตรีที่ใช้เวลาเท่ากับการดูหนัง 1 เรื่อง+หนังตัวอย่าง สามารถมาฟังเพลงหลังเลิกงาน ไปฟังคนเดียวได้ จ่ายค่าบัตรเท่ากับ “กินชาบูแล้วดูหนัง” แบงก์พันมีทอน
สายการบินโลว์คอสต์
ผมจะมีความสุขมาก เวลาที่เล่าไอเดียอะไรขึ้นมาแล้วคนสนุก หรือเห็นภาพเดียวกัน “หุ่น” กับ “เอก” สนุกกับไอเดียนี้ เพราะคล้ายกับไอเดียของเขาที่เคยคิดมาก่อน เขาอยากมีคอนเสิร์ตที่โรงละครสยามพิฆเนศทุกสัปดาห์ พอผู้บริหารโรงละครเห็นด้วย โครงการนี้ก็เป็นไปได้ทันที โรงละครสยามพิฆเนศระบบเสียงดีมาก ระดับที่ผู้กำกับเสียงรางวัลแกรมมี่เอ่ยปากชม เดินทางสะดวก เพราะอยู่ติดสถานีรถไฟฟ้าสยาม จำนวนที่นั่งประมาณ 900 กว่าที่นั่ง ที่นั่งแถวหลังสุดห่างจากเวที 28 เมตร เท่ากับความยาวสนามบาสเกตบอล เหมือนนักร้องอยู่ที่แป้นบาสหนึ่ง เรานั่งฟังอีกแป้นหนึ่ง…ใกล้มาก
ผมบอกว่าการฟังเพลงรูปแบบนี้เหมือนกับสายการบินโลว์คอสต์แอร์ไลน์ที่เขาตัดทอน “สิ่งที่ไม่จำเป็น” สำหรับการเดินทางออก เหลือแต่ “สิ่งที่จำเป็น” คือ ความปลอดภัย โครงการนี้ก็เช่นกัน เราตัดเหลือสิ่งที่จำเป็น คือ “ฟังเพลง” จุดขายของ “โลว์คอสต์แอร์ไลน์” คือ “เวลา” ไปถึงจุดหมายในเวลาที่รวดเร็ว “จุดขาย” ของโครงการนี้ก็เช่นกัน “เวลา” (เวลาแห่งความสุข)
ความไม่รู้ เจอกับ ความรู้
ผมมีบทเรียนหนึ่งจากการทำหลักสูตร V.A.I.P. คือ “ความไม่รู้” มีคุณค่า ความรู้ในโลกนี้มีอยู่ 2 อย่าง คือ รู้ว่ารู้อะไร กับรู้ว่าไม่รู้อะไร ผมกับหลักสูตรนี้ที่เกี่ยวกับ AI ที่ผมไม่รู้ แต่ทำกับคนที่รู้เรื่อง AI อย่างดี คือ “อาจารย์อ้น” ปฤณ จำเริญพานิช ผมไม่รู้เรื่อง AI แต่รู้เรื่องกลุ่มเป้าหมายผู้ใหญ่ และคนรุ่นใหม่ที่อยากเรียน AI แบบช้า ๆ V.A.I.P. ตอนนี้จบไปแล้ว 3 รุ่น
บทเรียนนี้เองทำให้มีกำลังใจในการคิดโครงการนี้ เพราะผมรู้เรื่องเพลงและดนตรีน้อยมาก แต่ “เอก” ในแวดวงดนตรีเหมือนกับ ”อาจารย์อ้น“ ในวงการ AI เขาเคยทำรายการเดอะ วอยซ์ ซีซั่น 1-2 จัดคอนเสิร์ตหลายครั้ง รู้-รู้-รู้ เยอะมาก “ความไม่รู้” เจอกับ “ความรู้” จึงกลายเป็นโครงการนี้ Wednesday Song
Wednesday Song
Wednesday Song เป็น 100 นาทีแห่งความสุขในค่ำวันพุธ กลางสัปดาห์ที่คนต้องการชาร์จพลังเพิ่ม เป็นบทเพลงที่มีเรื่องเล่า กับเรื่องราวที่มีตัวโน้ต ฟังดนตรีแบบสบาย ๆ ในราคาไม่ถึงพัน สมมุติว่าเริ่มจากเพลย์ลิสต์ของคนในวงการเพลง เราคงอยากรู้ว่าถ้า “ป๋าเต็ด” แนะนำเพลงให้เราฟัง จะเป็นเพลงอะไร ผ่านเสียงร้องของศิลปินระดับเดอะ วอยซ์ แล้วตามด้วยศิลปินที่คุณอยากฟัง สมมุติว่าเป็น “แสตมป์” ร้องเพลงเพราะ ๆ และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ บนเวทีที่ไม่เน้นระบบแสง สี แบบคอนเสิร์ต แต่ระบบเสียงดีกว่าคอนเสิร์ต
เราเริ่มสัก 19.30 น. จบ 21.10 น. กลับบ้านไม่ดึก ไปทำงานต่อตอนเช้าอย่างมีพลังได้ ถ้าใครกลัวว่ารถติดมาถึงใกล้เวลาเริ่มงาน ร้านอาหารแน่น กลัวทานอาหารไม่ทัน เรามีอาหารอร่อย ๆ แบบง่าย ๆ พร้อมเครื่องดื่ม แจกฟรี
ทำไมถึงทำ Wednesday Song
มีน้องถามว่าทำไมถึงทำโครงการนี้ ผมบอกเขาว่าคุณเคยหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งตอนเรียน แต่ไม่กล้าบอกเธอไหม จนวันหนึ่งเราเรียนจบ และแยกย้ายกันไป ผ่านไปจนความรู้สึกนั้นลางเลือนและหายไปแล้ว แต่เรายังมีคำถามคาใจตลอดเวลาว่าจริง ๆ เธอชอบเราหรือเปล่า ? เพียงเพราะเราไม่กล้าถามในวันนั้น
โครงการ Wednesday Song เกิดขึ้นด้วยเหตุผลนี้เลยครับ ผมไม่อยากมีคำถามคาใจครับ ใช่หรือไม่ใช่ ก็ให้รู้กันเลย เมื่อคิดแล้ว มีกำลังพอจะทำไหว แล้วทำไมไม่ทำ ?…คิดแล้ว ทำไหว ให้ทำเลย